สรุปย่อ
  รายงานสถานการณ์สังคมไทยว่าด้วยปัญหาเยาวชน พ.ศ. 2551:
  คนรุ่นใหม่กับการพัฒนา
  Thailand Social Monitor on Youth, 2008:
  Development and the Next Generation
   
  บทที่  1: ทำไมรัฐต้องให้ความสำคัญแก่เยาวชน
  ·        เยาวชนในวันนี้คือคนทำงาน  พลเมือง และพ่อแม่ในอนาคต   คุณภาพของเยาวชนในปัจจุบันคือเครื่องบ่งชี้ที่ดีถึงคุณภาพของกลุ่มคนที่จะมาเป็นแรงสำคัญในการผลักดันประเทศให้เติบโตไปในวันข้างหน้า
  ·        จำนวนประชากรที่อยู่ในวัยเยาวชนของไทยนับวันก็จะยิ่งลดลง    อันเนื่องมาจากการที่คนไทยแต่งงานช้าลง  และคู่สมรสไม่นิยมที่จะมีบุตรมากเช่นในอดีต    ทำให้จำนวนคนหนุ่มสาวที่จะมาเป็นแรงงานและพลังสำคัญของประเทศในอนาคตก็ลดลงตามไปด้วย    เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการการแข่งขันของประเทศ   รัฐจึงจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการออกมาเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของคนหนุ่มสาว    เพื่อให้คนรุ่นใหม่ที่มีอยู่นั้นเป็นคนรุ่นใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ     และมีประสิทธิภาพเพียบพร้อมสำหรับการแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลกยุคปัจจุบัน
  ·         ปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเยาวชนในปัจจุบันนั้น   แตกต่างไปจากปัญหาในอดีต  ทำให้นโยบายเดิม ๆ ไม่สามารถบรรเทาความรุนแรงหรือแก้ไขปัญหาที่เปลี่ยนไปได้   ยกตัวอย่างเช่น    ปัจจุบันนี้  เยาวชนมีเพศสัมพันธ์กันเร็วขึ้น     สิ่งที่ตามมาก็คือการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นสตรี   รวมทั้งการติดเชื้อเอชไอวีในหมู่เยาวชนที่มีเพศสัมพันธ์โดยมิได้ป้องกันก็สูงขึ้นด้วย    และในภาวะที่สังคมเต็มไปด้วยทางเลือกทั้งที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษเช่นในปัจจุบันนี้      เยาวชนไทยจำนนวนมากก็หันมาประกอบพฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่  การเสพสุราและของมึนเมา  หรือการทานอาหารที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเป็นประจำ    รวมทั้งมีเยาวชนหลายต่อหลายคนที่หลงใหลได้ปลื้มกับวัตถุต่าง ๆ จนสามารถที่จะทำอะไรได้หลาย ๆ อย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุนั้น    แม้ว่าจะต้องนำร่างกายเข้าแลกก็ตาม   
  ·        ในขณะที่เยาวชนต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมายภายใต้สภาวะของสังคมในปัจจุบัน   สถาบันครอบครัวซึ่งเคยเป็นเกราะป้องกันอันดียิ่งของเยาวชนในอดีตกลับอ่อนแอลงมาก   รวมทั้งสถาบันของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลนโยบายที่เกี่ยวกับเยาวชนด้วย   
    
    รูปแบบของนโยบายพัฒนาเยาวชนที่เหมาะสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน
      
  การวิคราะห์ปัจจัยเสี่ยงในหมู่เยาวชนที่อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงเวลาสำคัญ ๆ ของชีวิต
  จริงอยู่ที่เยาวชนโดยทั่วไปยังขาดซึ่งประสบการณ์ชีวิตที่จะทำให้พวกเขาสามารถรู้ผิดรู้ถูกได้ด้วยตัวเอง  ทำให้อาจตัดสินใจผิดพลาดได้ในบางครั้ง  แต่สภาพแวดล้อม สังคม และครอบครัวก็สำคัญยิ่งสำหรับการตัดสินใจของพวกเขา   ปัจจัยซึ่งสามารถเพิ่มความเสี่ยงในหมู่เยาวชนได้นั้นก็รวมถึง
  ·        พื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว   ซึ่งโดยมากแล้วจะมีอิทธิพลสูงต่อพัฒนาการของเยาวชนแต่ละคน
  ·        สภาพแวดล้อมทั้งในชุมชนที่เขาอาศัยอยู่  ในโรงเรียนที่เขาเข้าเรียน  และในสถานที่ทำงาน   
  ·        ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่น ๆ  เช่น  เสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค   กฎหมายแรงงาน  บริการทางสาธารณสุขที่รัฐเป็นผู้จัดหา    รวมทั้งนโยบายทางด้านสิ่งแวดล้อมของภาครัฐ    
   
  การวิเคราะห์วิจัยนโยบายเยาวชนที่เหมาะสมผ่านมุมมองสำคัญ 3 มุม
  “รายงานสถานการณ์สังคมไทย” ฉบับนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก “รายงานการพัฒนาโลกปี 2007: คนรุ่นใหม่กับการพัฒนา”   ของธนาคารโลก   ซึ่งเสนอแนวคิดที่ว่า  นโยบายเยาวชนที่เหมาะสมต่อสถานการณ์โลกในปัจจุบันนั้น   ควรจะอยู่บนพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ 3 สิ่ง  ดังต่อไปนี้
  ·        Expand opportunities:   การขยายโอกาสแก่เยาวชนอย่างทั่วถึง  ไม่ว่าจะเป็น  การพัฒนาคุณภาพของการศึกษา  หรือบริการสาธารณสุข   เพื่อให้พวกเขาได้สามารถใช้โอกาสนั้น ๆ ในการสร้างสมทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต   และส่งเสริมสุขอนามัยของตนเองให้สมบูรณ์  สามารถเป็นกำลังที่สำคัญของชาติได้ในภายหลัง
  ·        Increase capabilities: การเสริมสร้างประสิทธิภาพในการคิดและการตัดสินใจ    เพื่อให้เยาวชนสามารถใช้วิจารณญาณของตนเองในการเลือกสรรสิ่งดี ๆ ให้แก่ชีวิตได้  ด้วยการให้ความรู้แก่เยาวชนในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญต่อพวกเขา   และส่งเสริมทักษะในการวิเคราะห์ปัญหา หรือสถานการณ์รอบตัวก่อนที่จะตัดสินใจเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้แก่ชีวิต
  ·        Provide second changes: การให้โอกาสเยาวชนที่ตัดสินใจผิดพลาดได้กลับตัวใหม่   ผ่านโครงการที่มีเป้าหมายเฉพาะ  ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดฟื้นฟูเยาวชนที่ติดยาเสพติด      หรือการให้โอกาสเยาวชนได้เข้าฝึกฝนอบรมทักษะและอาชีพ  และเข้ารับการศึกษาหลังจากที่ได้ออกจากระบบไปแล้ว เป็นต้น
   
  รายงานของธนาคารโลกฉบับนี้ระบุว่า   มุมมองทั้ง 3 มุมนี้   ควรจะเป็นพื้นฐานของการวางโยบายสำหรับพัฒนาทรัพยากรบุคลของประเทศในช่วงอายุ 15-24 ปี     เพราะในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงที่เยาวชนส่วนใหญ่เริ่มพัฒนาบุคลิกภาพและความคิดของตนเอง    รวมทั้งเริ่มสะสมประสบการณ์ที่จะมีผลกระทบเป็นอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของเขาเมื่อก้าวเข้าสู่วัยทำงานแล้ว     
   
  บทที่  2: ทำอย่างไรให้หนุ่มสาวไทยมีสุขอนามัยที่สมบูรณ์
  ·        อัตราการเสียชีวิตของเยาวชนไทยในระยะหลังนี้ได้ลดลงมาก   เมื่อเทียบกับเมื่อประมาร 3-4 ทศวรรษก่อนหน้านี้   อย่างไรก็ตาม   สาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตในหมู่เยาวชนไทยในปัจจุบันนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน
  ·        สถิติของการเสียชีวิตในหมู่เยาวชนไทยในปี 2547  ชี้ให้เห็นว่า     ร้อยละ 76 ของเยาวชนไทยที่เสียชีวิตในปีนั้นเป็นเพศชาย   ในขณะที่ร้อยละ 23 เป็นเพศหญิง
  ·        สาเหตุสำคัญที่สุด 3 ประการของการเสียชีวิตในหมู่เยาวชนเพศชายก็คือ   อุบัติเหตุบนท้องถนน    การติดเชื้อ HIV/AIDS  และการฆ่าตัวตาย
  ·        สาเหตุสำคัญที่สุด 3 ประการของการเสียชีวิตในหมู่เยาวชนหญิงนั้นคือการติดเชื้อ HIV/AIDS  อุบัติเหตุบนท้องถนน  และการฆ่าตัวตาย
  ·        มีการประเมินว่า  ร้อยละ 50 ของผู้ได้รับเชื้อ HIV/AIDS  ในแต่ละปีนั้นเป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี  ในจำนวนนั้น  
  ·        สาเหตุสำคัญของการที่มีเยาวชนติดเชื้อ HIV/AIDS  ในอัตราที่สูงนั้นมาจากการที่เยาวชนไทยเริ่มมีเพศสัมพันธ์กันอย่างแพร่หลายมากขึ้น      ในขณะที่ความรู้ความเข้าใจของเยาวชนเองเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการมีเพศสัมพันธ์โดยมิได้ป้องกันนั้นยังมีจำกัด 
  ·        การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกหลักอนามัย  (เช่น อาหารที่มีน้ำตาลสูง  อาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ด)   ก็ทำให้ปัญหาสุขภาพของเยาวชนไทยเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตมาก   ปัจจุบันนี้   โอกาสที่เยาวชนไทยจะกลายเป็นคนน้ำหนักเกิน  ซึ่งจะเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ มากมายต่อสุขภาพ  ไม่ว่าจะเป็นการเกิดโรคเบาหวาน   โรคหัวใจ  หรือโรคมะเร็ง  ก็มีมากขึ้น     การสำรวจในปีพ.ศ. 2546  นั้นพบว่า  ร้อยละ 22 ของเยาวชนไทยอายุ 20-29 ปี มีปัญหาน้ำหนักเกิน  เมื่อเทียบกับร้อยละ  3   ในปี 2529
  ·        พฤติกรรมเสี่ยงที่พบมากขึ้นในหมู่เยาวชนไทยในระยะหลังนั้นก็มีทั้งการเสพสุรา   การสูบบุหรี่    การใช้ยาเสพติดประเภทต่าง ๆ   และการมีเพศสัมพันธ์โดยที่มิได้ป้องกัน    
  ·        สถิติพบว่า  เยาวชนชายโดยทั่วไปนั้นเริ่มเสพสุราเมื่ออายุ 11 ปี  และเยาวชนหญิงเมื่ออายุ 15 ปี    ในขณะเดียวกัน  สาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนในประเทศไทยในแต่ละปีนั้นก็มาจากการที่ผู้ขับขี่ยานพาหนะอยู่ในสภาวะมึนเมาจากพิษสุรา      (ร้อยละประมาณ 80 ของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในแต่ละปีนั้น  เป็นอุบัติเหตุที่เกิดกับมอเตอร์ไซคล์  และในจำนวนผู้ขี่มอเตอร์ไซคล์ที่เกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุทั้งหมดนั้น   ร้อยละ 50 เป็นเยาวชน)
  ·        เยาวชนไทยในปัจจุบันนี้มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกระหว่างอายุ 14-18 ปี      อย่างไรก็ดี   การใช้ถุงยางอนามัยในหมู่เยาวชนที่มีเพศสัมพันธ์กันนั้นกลับอยู่แค่ร้อยละ 10-30 เท่านั้น  ซึงนับว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก  
  ·        นอกจากการไม่ใช้ถุงยางอนามัยในระหว่างมีเพศสัมพันธ์นั้นจะทำให้เยาวชนเผชิญกับความเสี่ยงจากการติดเชื้อ HIV/AIDS มากขึ้นแล้ว   ก็ยังส่งผลให้อัตราการตั้งครรภ์ในหมู่เยาวชนสูงขึ้นอีกด้วยในระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา  เนื่องจากเยาวชนหญิงส่วนใหญ่ไม่ใช้ยาคุมกำเนิด      อันจะเห็นได้จากการที่อัตราการตั้งครรภ์ในหมู่วัยรุ่นสตรีอายุ 15-19 ปีนั้น   อยู่ที่ร้อยละ 47.3 ในปี 2547  จากที่เคยเป็น 31.8  ในปี 2542   
  ·        นอกจากนี้แล้ว  จำนวนเยาวชนที่มีส่วนในการก่ออาชญากรรมหรือใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น  ทำให้ต้องถูกส่งไปยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนก็ยังสูงขึ้นอีกด้วย
   
    เพราะอะไรเยาวชนจึงเปราะบาง
     ·        เยาวชนมักจะประกอบพฤติกรรมเสี่ยง   เพราะแรงจูงใจที่มาจากความเพลิดเพลินชั่วครู่ชั่วยามนั้นมักจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของเยาวชนมากกว่าการคำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นต่อพวกเขาในะระยะยาว
  ·        การขาดซึ่งความรู้ความเข้าใจในผลลัพธ์ของพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ๆ    เนื่องจากไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ
  ·        หรือหากข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับผลลัพธ์ของพฤติกรรมนั้น ๆ จะมีอยู่อย่างแพร่หลายก็ตาม   ปัจจัยภายนอก  เช่น  แรงกดดันจากเพื่อนฝูง   ปัญหาครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะต่อเยาวชน  อาจผลักดันให้พวกเขาเดินเข้าหาพฤติกรรมเสี่ยงนั้นได้เช่นกัน
  ·         อิทธิพลจากสื่อและการตลาดที่โน้มน้าวความคิด
  ·        รายได้ของครอบครัวและระดับการศึกษาของเยาวชนทั่วโลกนั้น   มีความสำคัญยิ่งต่อสุขอนามัยของเยาวชนเอง
   
    วิธีส่งเสริมสุขอนามัยที่ดีในหมู่เยาวชน
     ·        เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร  และให้การศึกษาแก่เยาวชนในเรื่องการป้องกันสุขอนามัยของพวกเขาเอง  โดยกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐอื่น ๆ   และองค์กรต่าง ๆ ในภาคเอกชน  รวมทั้ง NGOs   เพื่อให้การเผยแพร่ข้อมูลนั้นเป็นไปอย่างทั่วถึง
  ·        สอดแทรกเรื่องสุขอนามัยที่เยาวชนควรจะรู้ในหลักสูตรการเรียนการสอน   โดยเฉพาะเพศศึกษา  และความรู้เรื่อง HIV/AIDS  เพราะโรงเรียนคือสถานที่ที่เยาวชนโดยมากจะได้รับข้อมูลข่าวสารในเรื่องต่าง ๆ  
  ·        สนับสนุนการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมทักษะในการดำเนินชีวิต (life skills training)  ให้แก่เยาวชน
  ·        เปิดโอกาสให้เยาวชนมีส่วนร่วมในโครงการที่ออกแบบมาเพื่อพวกเขา   เช่น  การรณรงค์เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเรื่อง HIV/AIDS ในหมู่เยาวชน    รวมทั้งให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการให้การศึกษาในเรื่องต่าง ๆ แก่เยาวชนด้วยกันเอง
   
  บทที่  3: ส่งเสริมการเรียนรู้เพื่ออาชีพและการดำรงชีวิต
  ·        ประเทศไทยได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการกระจายการศึกษาให้แก่ประชาชน  ดังจะเห็นได้จากสถิติของเด็กไทยที่ได้รับการศึกษาทั้งขั้นพื้นฐาน  และในระดับมัธยมศึกษาในแต่ละปี   ตัวอย่างเช่น  สัดส่วนของเด็กไทยที่ได้รับการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย  เมื่อเทียบกับประชากรที่เป็นเยาวชนทั้งหมดของประเทศนั้น  ถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น  จีน  อินโดนีเซีย  และอินเดีย[i]  
  ·        นอกจากนี้แล้ว  อัตราการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาของเด็กไทย  ซึ่งอยู่ที่ราว ๆ 1 ใน 3 ของเยาวชนอายุ 18-21 ปีในพ.ศ.  2548 นั้น ก็ยังดีกว่าประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น มาเลเซีย   อินโดนีเซีย  ฟิลิปปินส์  ลาว  และกัมพูชาอยู่มาก
  ·        ปัญหาของประเทศไทยจึงไม่ได้อยู่ที่การกระจายโอกาสทางการศึกษา    แต่อยู่ที่คุณภาพของการเรียนการสอน  ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของบัณฑิตจบใหม่   และรวมถึงคุณภาพของเยาวชนไทยที่จะเติบโตไปเป็นคนทำงาน  พลเมืองของสังคม  และพ่อแม่ของเยาวชนในอนาคตด้วย  
  ·        สรุปย่อของปัญหาด้านการศึกษาของไทยมีดังนี้
  1.      ทักษะและความรู้ความเข้าใจของเด็กไทยต่อวิชาที่สำคัญ เช่น คณิตศาสตร์และวิทยาศาตร์นั้น อยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว
  2.      ในปัจจุบันนี้   สถานอุดมศึกษามีเป็นจำนวนมาก   และสังคมไทยก็ให้ความสำคัญกับการศึกษาในระดับนี้มากขึ้น  ดังจะเห็นได้จากการที่ตำแหน่งงานโดยมากมักจะกำหนดให้ผู้สมัครจบการศึกษาในระดับนี้    รวมทั้งการที่เยาวชนไทยเข้าเรียนต่อในระดับนี้มากขึ้นกว่าในอดีต  ทว่า  คุณภาพของบัณฑิตไทยในปัจจุบันนั้นนับว่ายังด้อยกว่าที่ควรจะเป็น  ทักษะทางด้านภาษา และทักษะในการวิเคราะห์ปัญหา (analytical skills)  ของเยาวชนไทยนั้น   เป็นประเด็นที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในหมู่ผู้ประกอบการ  
  3.      คุณภาพของครูผู้สอน   
  4.      การจัดหาแหล่งเงินทุนให้แก่นักเรียนที่ยากจนแต่ต้องการเรียนต่อ
  5.      ปัญหาคุณภาพของการเรียนการสอนในสถานอาชีวะศึกษา
  6.      หลักสูตรการสอนที่ไม่ทันต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนไป   รวมทั้งไม่ส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะสำหรับการดำรงชีวิต (life skills learning) เท่าที่ควร
  7.      การเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน  หรือผู้ที่ได้รับการศึกษาขั้ต่ำในวัยเยาว์  รวมทั้งผู้ที่ต้องการเพิ่มพูนทักษะความรู้ของตัวเองหลังจากจบการศึกษาแล้ว  สามารถกลับเข้าเรียนได้อีก
   
   
   
       |          สรุปย่อเรื่องปัญหาการอาชีวะศึกษา         ในประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ  เช่น เยอรมนี    อาชีวะศึกษาถือว่าเป็นทางเลือกอีกหนึ่งทางสำหรับเยาวชนที่ต้องการฝึกฝนทักษะทางด้านอาชีพโดยตรง    และภาครัฐเปิดโอกาสให้เยาวชนสามารถเข้ารับการศึกษาในสถานอาชีวะศึกษาพร้อม   ๆ ไปกับการฝึกงานจริงเพื่อเพิ่มพูนทักษะและส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยประสบการณ์จากการทำงานได้    ทำให้บัณฑิตที่จบจากสถานอาชีวะศึกษาในเยอรมนีนั้นสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้            อย่างไรก็ตาม     การอาชีวะศึกษาในประเทศไทยนั้นยังไม่ได้รับการสนับสนุนหรือความสนใจเท่าที่ควร  ทั้งนี้เพราะสาเหตุหลั ก ๆ 4 ประการ  คือ    ·          หลักสูตรที่เสนอในสถานอาชีวะศึกษาไม่ตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานอย่างแท้จริง       ·          อุปกรณ์การเรียนการสอนไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ของนักเรียน  หรือการสอนของครู    ·          ทางเลือกของนักเรียนที่จบอาชีวะศึกษาไม่ค่อยเปิดกว้างเหมือนนักเรียนที่เลือกเรียนสายสามัญ      ·          ภาพลักษณ์ในทางลบของอาชีวะศึกษาในสายตาของสังคม         ในขณะที่ประเทศไทยกำลังพยายามที่จะแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมต่าง   ๆ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ     ปัญหาเรื่องคุณภาพและจำนวนนักเรียนในระดับอาชีวะศ฿กษานับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่บั่นทอนขีดความสามารถของไทย   จากการสำรวจพบว่า    นอกจากนักเรียนและครูผู้สอนในสถาบันอาชีวะศึกษาจะไม่พึงพอใจกับคุณภาพของการเรียนรู้ในระดับนี้แล้ว       ผู้ประกอบการในภาคเอกชนยังมีความเห็นด้วยว่า    การอาชีวะศึกษาของไทยนั้นไม่สามารถผลิตแรงงานที่ตอบสนอลความต้องการของอุตสาหกรรมได้อย่างแท้จริง          |   
 
   
   
  บทที่ 4: ส่งเสริมการก้าวจากวัยเรียนสู่วัยทำงาน
    สรุปประเด็นและปัญหาแรงงานที่เกี่ยวข้องกับเยาวชน
      
  ·        เด็กไทยจำนวนมากเริ่มต้นทำงานตั้งแต่อายุยังน้อย  ถึงแม้กฎหมายจะห้ามเด็กอายุต่ำว่า 15 ปีทำงานก็ตาม  การเริ่มทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยนี้  เท่ากับเป็นการตัดโอกาสทางการศึกษาของเด็กไปด้วย
  ·        สภาวะในตลาดแรงงานของไทยนั้นค่อนข้างที่จะสนับสนุนแรงงานนอกระบบ  จากการสำรวจพบว่า ร้อยละ 68  ของแรงงานไทยเป็นแรงงานนอกระบบ  (ผู้ทำงานที่ไม่ได้รับความคุ้มครองหรือหลักประกันทางสังคม  เนื่องจากสภาพของงานที่เกี่ยวข้อง  เช่นงานอิสระ  งานเหมาช่วง  งานระยะสั้นหรือตามฤดูกาล  งานรับจ้างทั่วไปตามบ้านและธุรกิจขนาดเล็ก  งานในภาคเกษตรหรือประมง  เป็นต้น) 
  ·        มีแรงงานไทยที่อยู่ในช่วงอายุ 18-21 ปีทั้งหมดจำนวน 1,500,000 คน    อย่างน้อย 2 ใน 3 ของจำนวนนี้เป็นแรงงานนอกระบบ
  ·        ในขณะที่จำนวนเยาวชนไทยที่อยู่ในภาคเกษตรลดลง   จำนวนเยาวชนที่เป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมก็เพิ่มขึ้น   อย่างไรก็ดี     แรงงานในวัยนี้โดยมากจะเป็นแรงงานที่มีทักษะต่ำถึงปานกลาง   และประกอบอาชีพที่ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูง   ทำให้ค่าจ้างแรงงานในวัยนี้โดยรวมจัดว่าอยู่ในขั้นต่ำเช่นเดียวกัน    (การสำรวจพบว่า  ร้อยละ 18-38 ของแรงงานที่เป็นเยาวชนนี้ได้รับค่าจ้างที่น้อยกว่าอัตราแรงงานขั้นต่ำตามที่กฎหมายกำหนด)
  ·        หลังจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจเมื่อปี 2540   ซึ่งส่งผลให้มีการปิดกิจการเป็นจำนวนมาก  ผู้ประกอบการของไทยก็หันมาเข้มงวดมากขึ้นต่อการจ้างงานแบบถาวร  และการให้หลักประกันที่เหมาะสมต่อลูกจ้าง    ทำให้แรงงานไทยโดยรวมได้รับผลกระทบ   โดยเฉพาะแรงงานที่เป็นเยาวชน[ii]  
  ·        ในอดีตนั้น   ภาคอุตสาหกรรมไทยมีความต้องการแรงงานจากชนบทค่อนข้างสูง  เพราะการผลิตของไทยเป็นการผลิตที่อาศัยแรงงานเป็นหลัก    ทว่าในปัจจุบันนี้  สภาพเศรษฐกิจของโลกได้เปลี่ยนไปอย่างมาก     ซึ่งส่วนหนึ่งมีผลมาจากการปฏิวัติทางด้านเทคโนโลยี  ทำให้วิถีชีวิตและการทำงานของคนในปัจจุบัน  รวมทั้งการผลิตของภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนไปด้วย   เศรษฐกิจก้าวเข้าสู่การเป็นเศรษฐกิจฐานความรู้ (knowledge-based economy) มากขึ้น    ทำให้มีการคาดหมายว่า   ความต้องการแรงงานที่มีทักษะต่ำในอนาคตนั้นจะลดลงตามไปด้วย    
  ·        ประเทศไทยเองนั้น  จากที่เคยเป็นประเทศซึ่งได้เปรียบประเทศอื่น ๆ ในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพราะอัตราค่าจ้างแรงงานต่ำ  ในปัจจุบันนี้ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากประเทศอื่น ๆ ที่มีแรงงานถูกกว่า  เช่น จีน   ทำให้รัฐบาลไทยต้องหันมาส่งเสริมการเพิ่มคุณค่าของผลผลิตมากขึ้น  แทนที่จะพึ่งการผลิตสินค้าซึ่งอาศัยแรงงานสูงเพียงอย่างเดียว     ดังนั้น  ทักษะของแรงงานไทยจึงนับว่าสำคัญมากต่อการเจริญเติบโตของประเทศในอนาคต     การที่ระบบการศึกษาไทยยังไม่สามารถผลิตแรงงานที่มีทักษะสูง  ตอบสนองความต้องการของตลาด  ดังที่ระบุไว้ในบทที่แล้วนั้น  จึงนับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของการพัฒนาขีดความสามารถของไทยสำหรับการแข่งขันในระบบเศรษฐกิจโลกที่นับวันก็จะเข้มข้นขึ้น
  ·        การที่เยาวชนส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อการประกอบธุรกิจ (access to credit) ได้นั้น   เป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้เยาวชนที่มีทักษะทางด้านธุรกิจและต้องการมีกิจการของตนเอง  ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
  ·        เยาวชนนั้นต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการตกงานมากกว่าผู้ใหญ่ทั้งในภาวะปกติ  และภาวะที่เศรษฐกิจหดตัว      
   
    นโยบายที่จะเอื้อต่อการพัฒนาทักษะและประสิทธิภาพของแรงงานเยาวชน  
     ·        รัฐจำเป็นที่จะต้องมียุทธศาตร์ในการพัฒนาแรงงานเยาวชน  ทั้งในระดับเศรษฐกิจจุลภาคและมหภาค  
  ·        องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญของยุทธศาสตร์นี้คือการสนับสนุนให้เยาวชนวัย 15-18 ปีให้อยู่ในระบบการศึกษาแทนที่จะออกมาทำงาน  ด้วยการออกมาตรการด้านกฏหมายที่ลดแรงจูงใจของผู้ประกอบการในการจ้างงานเยาวชนในวัยนี้     นอกจากนี้แล้ว   การสร้างงานนอกภาคเกษตรตามต่างจังหวัดและในชนบท  ก็จะช่วยลดปัญหาการว่างงานของเยาวชนได้
  ·        การพัฒนาทักษะของเยาวชนไทยให้สามาถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้นั้น   นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งทั้งต่อการขยายโอกาสในการทำงานเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัวของเยาวชนไทย  และต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยโดยรวม  ดังนั้น  รัฐจึงควรที่จะพัฒนาโรงเรียนให้เป็นมากกว่าสถานศึกษา  แต่เป็นกลไกสำคัญของรัฐในการส่งเสริมพัฒนาความรู้และทักษะของเยาวชนผ่านการเรียนการสอน  เพื่อให้เยาวชนของไทยนั้นมีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป   และมีทักษะในการคิด  การวิเคราะห์ปัญหาที่ทำให้เขาสามารถเติบโตเป็นพลเมืองดีของสังคมได้ในอนาคต    และรัฐควรขยายทางเลือกในการศึกษาให้ตอบสนองความต้องการของเยาวชนให้มากขึ้นด้วย   
  ·        นอกจากนี้แล้ว    รัฐควรจะออกแบบหลักสูตรการศึกษาให้สนับสนุนการฝึกฝนทักษะและเพิ่มพูนประสบการณ์ในการทำงานระหว่างที่กำลังศึกษามากขึ้น    รวมทั้งเปิดโอกาสให้แรงงานเยาวชนที่มีทักษะต่ำ   ได้เข้ารับการอบรมฝึกฝนเพื่อเพิ่มพูนทักษะในการทำงานของตน     ในส่วนนี้  รัฐสามารถทำได้โดยการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนซึ่งมีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้น
   
  บทที่ 5: กรอบนโยบายและกฎระเบียบที่เหมาะสมแก่การพัฒนาเยาวชน
  ·        ก่อนที่เราจะพิจารณายุทธศาสตร์ใดใดก็ตามนั้น   เราต้องยอมรับก่อนว่า   ไม่มียุทธศาสตร์ใดในปัจจุบันที่สามารถแก้ไขปัญหาของทุกประเทศได้   ดังนั้น   แต่ละประเทศจึงต้องเลือกสรรนโยบายที่สอดคล้องต่อความต้องการของเยาวชน  และสภาพสังคม  รวมทั้งสถานการณ์ของประเทศในปัจจุบันเอง
  ·        “รายงานการพัฒนาโลกปี 2007: คนรุ่นใหม่กับการพัฒนา”  ได้ระบุไว้ว่า  สาเหตุหลักที่ทำให้นโยบายเยาวชนที่ผ่านมานั้นไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรมาจากปัจจัยหลัก 3 ประการ  ดังนี้
  1.      การขาดการประสานงานที่ดีระหว่างนโยบายแต่ละนโยบาย  และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
  2.      การที่เยาวชนโดยมากยังไม่ได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมในการวางหรือดำเนินนโยบายนั้น ๆ   [iii]
  3.      การขาดตัวอย่างของนโยบายและโครงการที่ประสบความสำเร็จ[iv]
    ยุทธศาสตร์การพัฒนาเยาวชนในประเทศไทย
     ·        การพัฒนาเยาวชนนั้น  ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
  ·        นับตั้งแต่ภาครัฐเริ่มสนับสนุนส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชนในปีพ.ศ. 2508 เป็นต้นมา   นโยบายและกฎระเบียบของภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะ ๆ    พัฒนาการทางการเมืองของไทยในอดีตเองก็มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางบทบาทและสถานภาพของสถาบันที่มีส่วนเกี่ยวข้องในนโยบายนี้ด้วย
  ·        ปัจจุบัน   หน่วยงานที่รับผิดชอบนโยบายเยาวชนในภาครัฐคือสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน  ผู้ด้อยโอกาส คนพิการ และผู้สูงอายุ  (กระทรวงพ.ม.)   ภายในสำนักงานนี้ก็ประกอบไปด้วยสำนักงานส่งเสริมและพิทักษ์เยาวชน      ซึ่งมีหน้าที่ดูแลนโยบายเยาวชนโดยรวม   อย่างไรก็ตาม  ปัญหาเรื่องงบประมาณและประสิทธิภาพในการประสานงานในภาครัฐ  อันเนื่องมาจากกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่ของสำนักงาน  ก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประสิทธิภาพของสำนักงานนี้
  ·        แผนพัฒนาเยาวชนในปัจจุบัน  มีเป้าหมายหลักคร่าว ๆ คือ สนับสนุนให้ครอบครัวมีบทบาทมากขึ้นในการช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชน;  สนับสนุนสถาบันหลักอื่น ๆ ให้มีบทบาทและมีการประสานงานกันมากขึ้น  เพื่อร่วมกันพัฒนาทักษะของเยาวชน;  สนับสนุนการให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริการแก่เยาวชน  ทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน  ให้สามารถทำหน้าที่นั้นได้โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติและด้วยความโปร่งใส;  สนับสนุนการแก้ไขกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเยาวชนให้เป็นไปอย่างทันต่อเหตุการณ์; สนับสนุนการสอดส่องและประเมินนโยบายเยาวชนที่เป็นระบบ   มีดัชนีสำหรับวัดผลที่ได้จากการดำเนินงาน;  สนับสนุนให้เยาวชนเพิ่มพูนทักษะของตนเองในการคิด  วิเคราะห์วิจัยปัญหา  ประพฤติตัวดี มีความรับผิดชอบ  และสามารถปรับปรุงตนเองให้เข้ากับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไปได้; และสนับสนุนให้เยาวชนทุกเพศทุกวัยใส่ใจกับบริการที่เขาสมควรจะได้รับ  และมีบทบาทมากขึ้นในการเรียกร้องให้ภาครัฐพัฒนาทั้งคุณภาพและปริมาณของบริการต่าง ๆ    เป็นต้น
   
    สิ่งซึ่งท้าทายนโยบายและกฎระเบียบที่เกี่ยวกับเยาวชนในประเทศไทย
     ·        การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง  ส่งผลให้นโยบายเยาวชนขาดความต่อเนื่อง    หน่วยงานหลัก ๆ ที่มีส่วนในการวางหรือดำเนินนโยบายนั้นขาดการประสานงานที่ดี    นโยบายต่าง ๆ ไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติ  หรือถ่ายทอดเป็นโครงการซึ่งจะทำให้นโยบายนั้น ๆ บรรลุผล
  ·        ความจำเป็นที่จะต้องสร้างความเข้มแข็งให้แก่ระบบที่ใช้สอดส่องประสิทธิภาพหรือประเมินผลของนโยบายเยาวชน  และความสามารถในการปรับปรุงนโยบายที่ดำเนินไปแล้วให้สอดคล้องแก่ความเป็นจริงได้
  ·        การสนับสนุนให้เยาวชนมีส่วนร่วมมากขึ้นในการวางนโยบายที่จะมีผลกระทบต่อพวกเขาโดยตรง   ผ่านเวทีต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้เยาวชนแสดงความคิดเห็น  ในประเทศไทย  การทำเช่นนี้ยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ในสังคม  ทำให้ผู้ใหญ่โดยมากมักจะมองว่าเป็นแนวคิดแบบตะวันตก  
   
    ·        เยาวชนเป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการพัฒนาประเทศ    รัฐจำเป็นที่จะต้องวางนโยบายพัฒนาเยาวชนควบคู่ไปกับนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
  ·        ประเทศไทย  ซึ่งกำลังพยายามที่จะก้าวเข้าสู่สถานภาพของเศรษฐกิจฐานความรู้   กำลังประสบปัญหาในการพัฒนาคุณภาพของเยาวชนให้สามารถเป็นแรงสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศตามเป้าหมาย     สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งคือ  ทำอย่างไรรัฐจึงจะสามารถ 
  (1)    ขยายโอกาสให้แก่เยาวชนอย่างทั่วถึง  
  (2)    เสริมสร้างประสิทธิภาพในการคิดและการตัดสินใจ    
  (3)    ให้โอกาสเยาวชนที่ตัดสินใจผิดพลาดได้กลับตัวใหม่   หรือสามารถกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่จะช่วยพัฒนาทักษะและความสามารถของเขาได้ 
  ·        รัฐจำเป็นที่จะต้องส่งเสริมการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลและดำเนินนโยบายเยาวชน  รวมทั้งหน่วยงานในภาคเอกชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  และสมควรที่จะสนับสนุนให้เยาวชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการวางและดำเนินนโยบายเหล่านั้น   เพื่อให้แน่ใจว่า  สิ่งที่รัฐทำนั้นจะตอบสนองต่อความต้องการของเยาวชนอย่างแท้จริง