บิลล์ เกตส์ สุดยอดอภิมหาเศรษฐีแห่งคุณธรรมและจริยธรรม
ประวัติและภูมิหลังชีวิตของบิลล์ เกตส์
ครอบครัว ชีวิตเริ่มต้นและทางเลือก
บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1955 บิดาชื่อวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway, First Interstate Bank, Pacific Northwest Bell และคณะกรรมการแห่งชาติของ United Way ชื่อเต็มคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ที่สาม ปู่ของเขาคือ วิลเลียม เฮนรี เกตส์ ซีเนียร์ บิลล์ เกตส์ โชคดีมากเนื่องจากเขาเพียบพร้อมด้วยกรรมพันธุ์ชั้นดีและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ อำนวย พ่อ แม่มีการศึกษาดีและมีอันจะกิน ส่วนตายายเป็นเจ้าของธนาคาร หลังเขาเกิดแม่ก็ลาออก จากงานมาเลี้ยงดูเขากับพี่สาวและน้องสาว ผู้เกิดตามมาพร้อมกับสละเวลาบางส่วน ให้กับองค์กรการกุศล บิลล์ เกตส์ จึง เห็นตัวอย่างของการแทนคุณแก่สังคม ตั้งแต่ครั้งเขายังหัวเท่ากำปั้น ยายสนับสนุนให้เขาอ่านหนังสืออย่างต่อ เนื่องพร้อมกับมีรางวัลให้แทบไม่อั้น รวมทั้งกองทุนเป็นเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์
บิลล์ เกตส์ พกมันสมองของอัจฉริยะติดมาด้วย เขาสนใจอ่านสารพัดอย่าง เมื่ออ่านแล้วก็จำได้ปานถ่ายรูปแปะไว้ในสมอง เขาสามารถท่องคัมภีร์ซึ่งมีเนื้อหายาวเท่าๆ กับปาติโมกข์ได้ภายใน 3 ชั่วโมงเมื่อตอนอยู่ชั้น ประถม เขามีความสามารถพิเศษในการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นกลไกสำหรับใช้เป็นเครื่องเล่น บุคลิกเด่นๆ ของ เขา ได้แก่ การเป็นเด็กดื้อ ซน อดทน ชนดะ ต้องเอาชนะให้ได้ และไม่ยอมเสียเวลากระทั่งเสื้อผ้า เมื่อถอดตรง ไหนก็โยนไว้ตรงนั้น ในระหว่างเรียนชั้นประถมเขาเรียนออกหน้าเพื่อนร่วมชั้นทั้งด้านภาษาและด้าน คำนวณ หลัง จากเข้าใจเนื้อหาแล้วก็มักก่อกวนเพื่อนร่วมชั้นและสร้างความรำคาญให้แก่ครู
ขณะที่เขาเรียนอยู่ในชั้นมัธยม บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิลซึ่งรับเฉพาะเด็กหัวกะทิ จากครอบครัวมั่งคั่ง ดังเช่นครอบครัวของเขาเท่านั้น การมีการศึกษาดีทำให้พ่อแม่ตระหนักอย่างรวดเร็วว่า การ สร้างความรำคาญในชั้นเรียนของลูกชายเป็นการแสดงออกของความเบื่อหน่าย หลังจากเขาเข้าใจเนื้อหาของวิชาที่ ครูสอน ก่อนคนอื่น โดย เฉพาะโรงเรียนมีอุปกรณ์ช่วยการเรียนการสอนมากมายและให้อิสระ แก่นักเรียนที่จะทำอะไรๆ ตามความสนใจได้มากกว่าปกติ สถานีใช้คอมพิวเตอร์ (Computer terminal) ซึ่ง ต่อสายไปยังคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ของบริษัทที่ให้เช่า และนั่นเป็นสิ่งที่บิลล์ เกตส์ ติดงอมแงมทันทีเมื่อโรงเรียนนำมาติดตั้งหลัง เขาเข้าเรียนได้ไม่นาน มันทำให้เขาได้เพื่อนรุ่นพี่ชื่อ พอล อัลเลน ซึ่งติดเล่นกับสถานีใช้คอมพิวเตอร์แบบงอมแงม เช่นกัน เพื่อนสนิทคนนี้ต่อมามีบทบาทสำคัญในการร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ โรงเรียนสามารถเรี่ยไรเงิน จากพ่อแม่ของนักเรียนได้แทบไม่อั้น เมื่อต้องการนำไปซื้อเวลาคอมพิวเตอร์เพิ่มให้แก่พวกเขา
หลังจากเรียนใช้คอมพิวเตอร์ได้ไม่นาน บิลล์ เกตส์ ก็ได้นำเวลาของบริษัทมาใช้ ยัง ผลให้เขาถูกห้ามใช้ คอมพิวเตอร์อยู่ระยะหนึ่ง หลังจากหมดโทษเขากลับทำผิดร้ายแรงขึ้นไปอีก โดยการเขียนโปรแกรมจำพวก สร้างปัญหา ส่งไปตามสายจนทำให้คอมพิวเตอร์ของบริษัทขัดข้อง คราวนี้แทนที่จะถูกทำโทษเขาได้รับเชิญให้ไป ใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทในตอนกลางคืนแทน เมื่อคน อื่นกลับบ้านหมดแล้ว เพื่อค้นหาความบกพร่องการทำงานของ คอมพิวเตอร์ ชื่อเสียงของเขาค่อยๆ โด่งดัง และมีบริษัทว่าจ้างให้เขาไปทำงาน ด้านค้นหาความบกพร่องของโปรแกรมตั้งแต่ตอนก่อนเขาเรียนจบชั้นมัธยม โรงเรียนอนุญาตเขาให้หยุดเรียนชั่วคราวได้เพื่อไปทำงานนั้น ในขณะเดียวกันเขากับเพื่อนสนิทก็เริ่มมีธุรกิจ รับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้องค์กรต่างๆ
ความสามารถในการสอบข้อสอบมาตรฐาน ด้าน คณิตศาสตร์ ได้คะแนนเต็มเป็นกุญแจชั้นดีที่เปิดประตูมหาวิทยาลัยได้ทุกแห่ง เขาเลือกบินข้ามประเทศไปเรียนที่ฮาร์วาร์ด ทั้งที่เพื่อนสนิทพอล อัลเลน ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยใกล้บ้านเกิดของเขาแล้ว ตอนเข้าเรียนใหม่ๆ เขายัง ไม่แน่ใจ ว่าจะเลือกอะไรเป็นวิชาเอกนอกจากคิดว่าเมื่อถึงเวลาก็จะเลือกวิชาคณิตศาสตร์ แต่เขาเปลี่ยนใจเมื่อได้ พบกับนักศึกษาที่จะเลือกเอกวิชานั้น เพราะเขารู้ทันทีว่ายังมีคนเก่งกว่าเขาอีกมาก การ ไม่รู้จะเรียนเอกอะไรทำให้เขารู้สึกเคว้งคว้างและใช้เวลาว่างส่วนใหญ่เล่น ไพ่และอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นเขาไปลงทะเบียนเรียนวิชาในระดับปริญญาโท-เอกหลายวิชา ปรากฏว่าเขาสอบได้ที่ 1 ในวิชาเศรษฐศาสตร์ทั้งที่ไม่เคยเข้าเรียนในชั้นเรียนเลย เพียงแค่อ่านตำรา 1 สัปดาห์ก่อนสอบกับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งสอบได้ที่ 2 เพื่อนคนนั้นต่อมาได้กลายเป็นมือขวาของเขา และในขณะนี้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารของไมโครซอฟท์
ฮาร์วาร์ดสร้างจุดพลิกผันสำคัญ เพิ่มขึ้นให้แก่บิลล์ เกตส์ ในจำนวนจุดพลิกผันที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่ ใน ระหว่างที่พอล อัลเลน เดินทางข้ามประเทศไปเยี่ยมเขาที่นั่น ทั้งสองออกไปเดินเล่นกันแล้วเหลือบไปเห็น นิตยสารด้านอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขึ้นปกด้วยรูปของคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ มันมีมนต์ขลังถึงขนาดบันดาลให้บิลล์ เกตส์ เลิกเล่นไพ่และพอล อัลเลน ลาออกจากงานเพื่อร่วมกันทุ่มเทเวลาหาทางเขียนซอฟต์แวร์สำหรับ คอมพิวเตอร์แบบนั้น ซึ่งทั้งสองยังไม่เคยเห็นตัวจริงเสียด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร หลังจากอดตาหลับขับตานอนอยู่ 2 เดือน พอล อัลเลน ก็นำโปรแกรมที่ทั้งสองช่วยกันพัฒนา ไปเสนอแก่บริษัทเจ้าของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่รัฐนิวเม็กซิโก ปรากฏ ว่าโปรแกรมนั้นทำงานได้สร้างความอัศจรรย์ใจ ให้ผู้รู้เห็นทุกคน บริษัทนั้นจ้างพอล อัลเลน ทันที อีกไม่นานต่อมาบิลล์ เกตส์ ก็ลาออกจากฮาร์วาร์ด เพื่อเดินทางไปตั้งหุ้นส่วนเขียนซอฟต์แวร์กับเพื่อนสนิทของเขาที่ นิวเม็กซิโก หุ้นส่วนนั้นคือเมล็ดพันธุ์ที่พัฒนามาเป็นบริษัทไมโครซอฟท์
เมื่อเรียนอยู่ชั้นปี 3 เขา ก็ตัดสินใจหันหลังให้กับใบปริญญา ลาออกจากฮาร์วาร์ด แล้วร่วมกับพอล อัลเลน เพื่อนสมัยเด็ก ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดสร้างบริษัทไมโครซอฟต์ได้สำเร็จภายใน 2 ปี ด้วยความเชื่อว่าในอนาคตคอมพิวเตอร์จะต้องกลาย เป็นเครื่องมือส่วนบุคคล และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกๆโต๊ะทำงาน และทุกๆบ้าน การคาดการณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำและวิสัยทัศน์ ที่กว้างไกลในเรื่องนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของไมโครซอฟต์ในเวลา ต่อมา
ไมโครซอฟต์ใช้เงินลงทุนมากกว่า 4 พัน ล้านดอลล่าร์ในการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ให้ทันสมัย และคิดกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้ว่าในช่วงหลัง อัตราการเติบโตของบริษัทจะลดลง แต่เกตส์ก็ยังคงครองตำแหน่งเจ้าพ่อด้านซอฟต์แวร์ของโลกเหมือนเดิม ด้วยรายได้กว่า 28,000ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทสาขาใน 74 ประเทศและมีพนักงานกว่า 50,000 คน
นอกจากหลงใหลคอมพิวเตอร์และ ซอฟต์แวร์แล้ว เกตส์ยังสนใจเทคโนโลยีชีวภาพด้วย เขาร่วมลงทุนและอยู่ในคณะกรรมการ ของบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านนี้หลายแห่ง ทั้งยังก่อตั้งหน่วยงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สำหรับเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสาร งานศิลปะ และภาพถ่ายให้เป็นเอกสารระบบดิจิตอลที่สามารถใช้ได้ทั่วโลก และลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เช่น โทรศัพท์ ดาวเทียม ฯลฯ เพื่อเตรียม พร้อมสำหรับการให้บริการด้านการสื่อสารแบบสองทางในอนาคต
หนังสือเรื่อง Business @ the Speed of Thought ที่เขาเขียนขึ้นในปี ค.ศ.1999 เสนอแนวทางใหม่ในการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แก้ไขปัญหาธุรกิจขั้นพื้นฐาน และได้รับการตีพิมพ์ถึง 25 ภาษา จำหน่ายใน 60 ประเทศ และขึ้นอันดับเป็นหนังสือขายดีในหลายๆ ชาร์ต เช่นเดียวกับเล่มก่อนหน้านี้ที่ชื่อ The Road Ahead ก็ขึ้นอันดับหนึ่งในชาร์ตของ New York Times นานถึง 7 สัปดาห์ ซึ่งรายได้ จากการขายหนังสือ เขาได้บริจาคให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรที่สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการ ศึกษาและการพัฒนาทักษะอาชีพ
ด้านครอบครัว เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์(เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14กันยายน ค.ศ. 2002)
ในขณะที่เขาเป็นบุคคลสาธารณะที่ สุดในโลกคนหนึ่ง เกตส์กลับชอบเก็บตัว เขาหลงใหลการอ่าน และสนุกกับการเล่นกอล์ฟและไพ่บริดจ์ ในวันหยุดเขามักจะพาครอบครัวคือเมลินดา เฟรนช์ เกตส์ ภรรยาและลูก ๆ อีก 3 คนไปอยู่กับพ่อของเขา
กว่า 32 ปีอันเป็นช่วงเวลาที่บิลล์ เกตส์ เริ่มก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ถึงวันที่เขาเกษียณตัวเอง เขา มีร่างกายพิเศษที่แม้จะไม่ได้หลับได้นอนเป็นเวลานานๆ แต่ร่างกายของ เขาทนทานต่อการหักโหมได้ไม่เฉพาะในระหว่างอยู่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่เขา หักโหมร่างกายโดยการเล่นไพ่และอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ตลอดวันตลอดคืน ในระหว่างการสร้างบริษัทไมโครซอฟท์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งพนักงาน ที่เข้ามาทำงานในตอนเช้าจะพบเขานอนหลับอยู่กับพื้นห้องเพราะเขาทำงานจนดึก ดื่นทุกคืน และบางครั้งไม่ยอม เสียเวลาเดินทางกลับบ้าน เมื่อง่วงจัดจนทนไม่ไหวจริงๆ เขาก็ลงนอนหลับกลิ้งอยู่บนพื้นห้องทำงาน
อาจดูเหมือนบุคลิกของเขาจะเป็นคนรุกกร้าวไม่มีคำว่าแพ้ แต่ บิลล์ เกตส์ เป็นผู้รู้จักฟังโดยเฉพาะ จาก พนักงานของบริษัท ไมโครซอฟท์ พนักงานทุกคนสามารถส่งข้อเสนอโดยตรงไปถึงเขาได้ และเขามักใช้เวลาตอนดึกๆ ตอบอีเมล์ของ พนักงาน นอกจากนั้นเขายังมักพาพนักงานออกไปใช้เวลานอกสำนักงานเพื่อช่วยกันระดมสมอง เขาจะไม่ถือสาถ้า พนักงานไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเขาและยินดีจะเปลี่ยนใจและนำข้อเสนอของ พนักงานไปใช้ ถ้าข้อเสนอนั้น เหนือชั้นกว่าของเขา ความใจกว้างนี้มีผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในไมโครซอฟท์เสมอมา
แม้เขาจะทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำตลอด ทั้งปี แต่เขาจะมีเวลาเป็นของตัวเองปีละ 2 ครั้ง ครั้งละหนึ่ง สัปดาห์ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้เขาจะหนีไปเก็บตัวอยู่ในสถานที่ห่างไกลที่ไม่มีอะไร รบกวน เขาจะใช้เวลาอ่านหนังสือใหม่ๆ ที่เขาไม่มีโอกาสอ่านพร้อมกับศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งในด้านธุรกิจ การใช้เวลาคิดอย่างลึกซึ้ง ถึงทุกสิ่งรอบด้านนี้ มีผลดีต่อทั้งการวางแผนระยะยาวของไมโครซอฟท์และกลยุทธ์ที่จะใช้ต่อไปในช่วง เวลาสั้นๆ นอกจากนั้นเขายังได้แนวคิดใหม่ๆ ซึ่งนำไปสู่การเขียนหนังสือ 2 เล่ม ได้แก่ The Road Ahead ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 2538 และ Business @ the Speed of Thought ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 2542 เล่มหลังนี้พูดถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของการทำธุรกิจ
แม้ว่า บิลล์ เกตส์ จะเป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของโลกตั้งแต่ อายุ 39 ปี แต่เขาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องการใช้เงินเมื่อเทียบกับมหาเศรษฐีอื่นๆ นอกจากบ้านราคาเป็นหลักสิบ ล้านดอลลาร์และรถยนต์ราคาเรือนแสนดอลลาร์แล้ว เขาไม่นิยมสะสมตุ๊กตาราคาแพงเช่นมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเรือยอชต์ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ สนามกอล์ฟ บ้านตากอากาศ หรืองานศิลปะ เงินของเขาส่วน ใหญ่ถูกนำไปใช้ในการลงทุนและเพื่อการกุศล ในด้านการลงทุนนานๆ จึงจะมีข่าวรั่วไหลออกมาว่าเขาไปลงทุนที่ นั่นที่นี่ ฉะนั้นจึงไม่มีใครรู้แนวคิดและการปฏิบัติของเขาแบบเต็มร้อย ส่วนในด้านการกุศล เขาและภรรยาได้ตั้ง มูลนิธิขึ้นมาเพื่อดำเนินงาน ฉะนั้นด้านนี้มีข้อมูลละเอียด หลังการเกษียณตัวเองเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ที่ผ่านมา บิลล์ เกตส์ เริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงานการกุศลของมูลนิธิชื่อว่า Bill & Melinda Gates Foundation
บิลล์ เกตส์ และภรรยา ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาเมื่อปี 2543 ในช่วงเวลา 8 ปีเขาทั้งสองได้สละทรัพย์สินส่วนตัวให้มูลนิธิ แล้ว 34, 000 ล้านดอลลาร์ อภิมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเขาได้บริจาคสมทบอีก 3,360 ล้านดอลลาร์ และจะบริจาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกราว 30, 000 ล้านดอลลาร์ ทรัพย์สินกองนี้เป็นเสมือนต้นทุนที่มูลนิธิ จะนำมาหมุนหาดอกผลเพื่อนำไปใช้ในโครงการการกุศลทั่วโลก ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิใช้ดอกผลไปใน โครงการการกุศลต่างๆ แล้ว 16,500 ล้านดอลลาร์ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอีกกว่า 100 ประเทศ
โครงการแบ่งออกเป็น 3 ด้านด้วยกันคือ
1. ด้านการพัฒนา **ตัวอย่างของโครงการด้านการพัฒนา ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาเพื่อแสวงหาพันธุ์พืชอาหารที่ทนทานต่อความแห้ง แล้งในทวีปแอฟริกา โครงการนี้มูลนิธิของเขาบริจาคไป 264.5 ล้านดอลลาร์
2. ด้านสุขภาพ **ตัวอย่างของโครงการด้านสุขภาพ ได้แก่ การพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อสู้กับเชื้อมาลาเรียดื้อยาเป็นเงิน 287 ล้านดอลลาร์
3. ด้านที่เกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะ **ตัวอย่างของโครงการในสหรัฐ อเมริกา ได้แก่ การให้ทุนการศึกษาแก่มหาวิทยาลัยซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำจำนวน 1, 370 ล้านดอลลาร์
การมองโลกของบิลล์ เกตส์ นอกจากจะมองว่าโลกทั้งหมดคือฐานของการสร้างความ ร่ำรวยที่เขาจะต้องตอบแทนคุณแล้ว เขามองว่าในขณะนี้โลกมีศัตรูคู่อาฆาตในรูปของปัญหาหนักหนาสาหัสทาง ด้านการแพร่กระจายของเชื้อโรค ด้านการขาดการศึกษาและด้านความด้อยพัฒนาซึ่งแสดงออกมาในรูปของความ ยากจน การต่อสู้กับศัตรูครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งซึ่งชาวโลกจะต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้นโอกาสจะชนะมีน้อย เนื่องจาก กองทัพต้องมีทั้งกำลังทรัพย์และขุนศึก ชาวโลกจะต้องสละทั้งทรัพย์และขันอาสาออกมาสู้ศึกตามความสามารถ ของตน บิลล์ เกตส์ ไม่เพียงแต่พูด หากต้องการทำให้ชาวโลกเห็นเป็นตัวอย่างด้วย
ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 2005 สำนักวิเทศสัมพันธ์ของสหราชอาณาจักรได้ประกาศว่า บิลล์ เกตส์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน อันเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอบแทนที่ต่อสิ่งเขาได้อุทิศให้กับบริษัทในสหราชอาณาจักร และความพยายามของเขาในการลดปัญหาความยากจนในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกแต่เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นบุคคลสัญชาติในกลุ่มประเทศเครือจักรภพ เขาจึงไม่สามารถใช้คำนำหน้าว่า เซอร์ ได้ แต่เราต้องใส่อักษร “KBE” (Knight Commander of The British Empire)ตามหลังชื่อของเขา
- บิลล์ เกตส์ ติดอันดับหนึ่ง จากการจัดอันดับ “ฟอร์บ 400″ ระหว่างปี ค.ศ. 1993-2005 และติดอันดับหนึ่งในการจัดอันดับมหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บ ในปี ค.ศ. 1996 และระหว่างปี ค.ศ. 1998-2005 ซึ่งจากการจัดอันดับดังกล่าว สรุปได้ว่าทรัพย์สินสุทธิของเขามีมูลค่าดังต่อไปนี้:
- ค.ศ. 1996 - 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 1997 - 36.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 2 ของโลก (รองจากสุลต่านโบลเกียแห่งบรูไน ผู้ซึ่งอยู่ในการจัดอันดับของปีนี้ แม้ว่าฟอร์บจะมีนโยบายไม่รวมประมุขของรัฐไว้ในการจัดอันดับก็ตาม)
- ค.ศ. 1998 - 51.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 1999 - 90.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2000 - 60.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2001 - 58.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2002 - 52.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2003 - 40.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2004 - 46.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2005 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
- ค.ศ. 2006 - 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อันดับ 1 ของโลก
การที่ทรัพย์สินสุทธิของเกตส์ มีมูลค่าลดลงตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 เป็น ต้นมา มีสาเหตุมาจากการที่หุ้นของไมโครซอฟท์มีราคาลดลง รวมถึงการที่เขาได้บริจาคเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้องค์กรการกุศลของเขา และแม้เขาจะมีรายได้ลดลง ตามรายงานของนิตยสารฟอร์บในปี ค.ศ.2004 เกตส์ยังได้บริจาคเงินรวมกว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับองค์กรการกุศลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เดือนกรกฎาคม 2006 บิลล์ เกตส์ ประกาศอำลาตำแหน่งสถาปนิกซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ เพื่อจะได้มีเวลาอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์มากขึ้น โดยขอเวลาสองปีเพื่อถ่ายโอนงานให้เรียบร้อย กระทั่งในที่สุดเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน ค.ศ.2008 บิลล์ เกตส์ เกษียณตัวเองจากงานเต็มเวลาในบริษัทไมโครซอฟท์ด้วยอายุ 52 ปี กับ 8 เดือน จากวันนี้ไปเขาจะทำงานให้ไมโครซอฟท์เพียงสัปดาห์ละ 1 วัน ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลนิธิ บิลล์และเมลินดา เกตส์เพิ่มมากขึ้น
โลกของเราใบนี้จะดีขึ้นกว่า ปัจจุบันมาก หากชนชั้นเศรษฐีจะมีจิตสำนึกเช่นบิลล์ เกตส์ นั่นคือการตระหนักในความโชคดีของตนเองและรู้จักพอเพียงแล้วอุทิศกำลังกาย กำลังสมองและกำลังทรัพย์ส่วนหนึ่ง เพื่อช่วยกันขจัดปัญหาใหญ่ๆ ในชุมชนซึ่งตนอาศัยอยู่ ชุมชนนั้นอาจเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือชุมชนขนาดใหญ่ในระดับประเทศและระดับโลกก็ได้
เกียรติประวัติ บิลล์ เกตส์
· ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยวาเซดะ ค.ศ. 2005
· รางวัลเกียรติยศผู้บัญชาการอัศวินแห่งจักรวรรดิบริเตน จากสหราชอาณาจักร ตามประกาศเมื่อปี ค.ศ. 2005
· ปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากสถาบันเทคโนโลยีหลวง (Royal Institute of Technology) กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ค.ศ. 2002
· ติดหนึ่งใน 100 อันดับบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลต่อประชาชนในสื่อต่าง ๆ จากการจัดอันดับของ หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียนค.ศ. 2001
· ติดอันดับบุคคลผู้มีอำนาจ, นิตยสารซันเดย์ ไทม ค.ศ. 1999
· อันดับ 2 ในการจัดอันดับ 100 ดาวรุ่ง, นิตยสารอัพไซด์ ค.ศ. 1999
· อันดับ 1 ในการจัดอันดับ 50 ดาวรุ่งในโลกไซเบอร์, นิตยสารไทม ค.ศ. 1998
· อันดับที่ 28 ใน 100 อันดับบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลในวงการกีฬา, นิตยสารสปอร์ตติง นิวส์ ค.ศ. 1997
· ผู้บริหารระดับสูงแห่งปี, นิตยสารชีฟ เอกเซกคูทีฟ ออฟฟิซเซอร์ ค.ศ. 1994
· นักกีฏวิทยา ได้ตั้งชื่อแมลงวันตอมดอกไม้พันธุ์หนึ่งว่า Eristalis gatesi ตามชื่อของบิลล์ เกตส์ เพื่อเป็นเกียรติ์แก่เขา
ประเด็นด้านการช่วยเหลือทางสังคม
การมองโลกของบิลล์ เกตส์ นอกจากจะมองว่าโลกทั้งหมดคือฐานของการสร้างความ ร่ำรวยที่เขาจะต้องตอบแทนคุณแล้ว เขามองว่าในขณะนี้โลกมีศัตรูคู่อาฆาตในรูปของปัญหาหนักหนาสาหัสทาง ด้านการแพร่กระจายของเชื้อโรค ด้านการขาดการศึกษาและด้านความด้อยพัฒนาซึ่งแสดงออกมาในรูปของความ ยากจน การต่อสู้กับศัตรูครั้งนี้มีความสำคัญยิ่งซึ่งชาวโลกจะต้องร่วมมือกัน มิฉะนั้นโอกาสจะชนะมีน้อย เนื่องจากกองทัพต้องมีทั้งกำลังทรัพย์และขุนศึก ชาวโลกจะต้องสละทั้งทรัพย์และขันอาสาออกมาสู้ศึกตามความสามารถ ของตน บิลล์ เกตส์ ไม่เพียงแต่พูด หากต้องการทำให้ชาวโลกเห็นเป็นตัวอย่างด้วย
การที่เค้าร่ำรวยมหาศาล ครองอันดับ 1 ของโลก 13 ปีติดต่อกัน ด้วยทรัพย์สินกว่า 50,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2 ล้าน ล้านบาท และด้วยทรัพย์สินกองใหญ่ขนาดนั้นย่อมทำให้บิลล์ เกตส์ หมดความจำเป็นที่จะต้องตรากตรำไปทำงานเพื่อการยังชีพ แต่คนที่มีพลังผลักดันภายในสูงยิ่งเช่น บิลล์ เกตส์ ย่อมอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ฉะนั้นเขาจะไม่หยุดทำงานหลังจากสละตำแหน่งใหญ่ๆ ในไมโครซอฟท์แล้ว หากจะทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับมูลนิธิเพื่อการกุศลที่เขาและภรรยาตั้งขึ้น ชื่อว่า Bill & Melinda Gates Foundationมูลนิธินี้มีคำขวัญว่าBringing innovations in health and learning to the global community ซึ่งมีความหมายว่า “เพื่อนำนวัตกรรมด้านสุขภาพและด้านการเรียนรู้ไปสู่ชุมชนโลก“ คำ ขวัญนี้สะท้อนความตั้งใจของบิลล์ เกตส์ และภรรยาที่ต้องการจะใช้สมบัติกองใหญ่และความรู้ความสามารถของตนช่วยขจัดโรค ร้ายและอวิชชาให้หมดไปจากโลก
ณ วันนี้ Bill & Melinda Gates Foundation เป็นมูลนิธิที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก เพราะได้รับบริจาค จากสองสามีภรรยาแล้วกว่า 29,000 ล้าน ดอลลาร์ และจะได้รับเพิ่มอีก เนื่องจาก ทั้งสองได้ประกาศไว้นานแล้วว่า จะกันทรัพย์สินเพียงส่วนน้อยเท่านั้นไว้ให้แก่ลูกๆ ส่วนที่เหลือจะยกให้แก่มูลนิธิ คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าในสหรัฐ ผู้บริจาคทรัพย์ให้แก่มูลนิธิเพื่อการกุศลได้รับการลดหย่อนภาษีจากรัฐบาลโดย เฉพาะภาษีมรดก ฉะนั้นมูลนิธิจำนวนมากจึงถูกตั้งขึ้นหรือได้รับบริจาคทรัพย์จากมหาเศรษฐี
การเกษียณตัวเอง จากไมโครซอฟท์และทิ้งรายได้ประจำเป็นจำนวนมากของบิลล์ เกตส์ อาจเป็นที่แปลกใจของหลายวงการ แต่สำหรับผู้ที่ติดตามความคิดความอ่าน และการดำเนินชีวิตของเขามาเป็นเวลานานคงไม่แปลกใจเลย (ในปัจจุบันมีหนังสือเกี่ยวกับบิลล์ เกตส์ ในตลาดจำนวนมาก รวมทั้งหนังสือที่เขาเขียนเอง เช่น The Road Ahead และ Business @ the Speed of Thought
นอกจากจะมีมันสมองระดับอัจฉริยะ และมีพลังผลักดันภายในไม่ต่ำกว่าใครในโลกแล้ว บิลล์ เกตส์ มีจิตสำนึกสูงยิ่ง โดยเฉพาะในความโชคดีของตนเอง การตระหนักในความโชคดีนั้นทำให้เขาต้องการตั้งมูลนิธิขึ้น เพื่อตอบแทนคุณแก่สังคม เนื่องจากบริษัทของเขาร่ำรวยด้วยการขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลก “สังคม“ ของเขา จึงเป็นชุมชนโลกทั้งหมด
นับตั้งแต่วันก่อตั้งมูลนิธิ Bill & Melinda Gates ได้ให้เงินสนับสนุนแก่โครงการต่างๆ แล้วราว 10,500 ล้านดอลลาร์ ในจำนวนนั้นราว 30% บริจาคให้แก่โครงการในสหรัฐ เพื่อประโยชน์ของชาวอเมริกัน ส่วนอีก 70% บริจาคให้โครงการในประเทศต่างๆ กว่า 100ประเทศ โดยเฉพาะแก่โครงการเพื่อขจัดโรคร้าย เช่น เอดส์ มาลาเรียและวัณโรค และเพื่อปลูกฝีและฉีดยาให้เด็กเกิดใหม่ในประเทศด้อยพัฒนา
ประเด็นด้านการเป็นผู้นำทางธุรกิจที่แตกต่าง
การที่ธุรกิจเต็มไปด้วยการแข่งขันจากทุกมุมโลก ทั้งคู่แข่งที่ยังไม่เกิดหรือเกิดขึ้นแล้วโดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยรูปแบบ ธุรกิจของเขาเหล่านั้นอาจจะทำให้ธุรกิจที่มีอยู่แล้วตกยุคไปทันที ด้วยการแข่งขันที่ไม่ได้เน้นกันที่ตัวสินค้าหรือบริการอีกต่อไปแต่เป็นการ แข่งขันกันที่รูปแบบทางธุรกิจว่าใครเหนือกว่า
บิลล์ เกตส์ ชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลกจากธุรกิจซอฟต์แวร์ ก็ เชื่อมั่นในแนวคิดดังกล่าวเขาเห็นว่า แม้รูปแบบทางธุรกิจใหม่ๆ เหล่านี้อาจยังไม่ชัดเจนในแง่ประสิทธิภาพ และเต็มไปด้วยความเสี่ยงก็ตามแต่เราก็ไม่อาจปฎิเสธสิ่งนี้ได้ และรูปแบบทางธุรกิจที่ร้อนแรงและน่ากลัวที่กำลังกล่าวนี้คือ รูปแบบการดำเนินธุรกิจบนเว็บไซต์นั่นเอง
ด้วยการจัดการทางธุรกิจในยุคใหม่ ที่อาศัยศาสตร์ทางเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงานขององค์กร เราจึงขอเรียก รูปแบบการดำเนินงานขององค์กร เราจึงขอเรียกรูปแบบการดำเนินธุรกิจในลักษณะนี้ว่า “E-Corporation” ซึ่ง มิได้เพียงเพื่อตอบสนอง การใช้ตัวอิเล็คทรอนิคส์มาเป็นสื่อทางการตลาดเพียงเพื่อตอบสนองลูกค้าเท่า นั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการผนวกการใช้คอมพิวเตอร์ การใช้โปรแกรมเว็บ เทคโนโลยีและโปรแกรมที่สลับซับซ้อนที่เรียกกันว่า enterprise software มา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางธุรกิจอย่างเบ็ดเสร็จ ที่ส่งผลต่อภาวการณ์แข่งขันอันรุนแรงในหลากหลายแห่งพร้อม ๆกับเป็นวิกฤตสำหรับธุรกิจบางแห่งเช่นกัน
บางครั้งเราอาจพบว่ามีความคลั่งไคล้ อินเตอร์เน็ตจนเกินงามแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าอินเตอร์เน็ตนั่นกำลัง เปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิตอย่างลึกซึ้งเกินกว่าที่จะ จิตนาการได้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตไม่เป็นเพียงแต่ แค่เป็นช่องทางใหม่ของการทำตลาด ช่องการทำโฆษณา หรือเป็นตัวเร่งของการทำธุรกรรมให้เร็วขึ้นเท่านั้นแต่อินเทอร์เน็ต นั้นเป็นฐานสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมในรูปโฉมใหม่แล้ว
ธุรกิจได้มีการปรับเปลี่ยนและ พัฒนารูปแบบอยู่อย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางธุรกิจเราจะมีผู้นำธุรกิจ เกิดขึ้นมาใหม่เสมอ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือธุรกิจการค้าปลีก ครั้งหนึ่งบริษัท Woolsworth ไม่เคยว่าบริษัทอย่าง Sears จะ มาปรากฎตัวกลาย เป็นผู้นำแทนบริษัทเขาได้ และครั้งแล้วครั้งเล่าที่บริษัทเหล่านี้มองข้ามความสำคัญของรูปแบบทางธุรกิจ ใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น จนสูญเสียความ เป็นผู้นำทางธุรกิจ การเกิดขึ้นของบริษัท Wal-Mart ในปี 1962 จนกลายเป็นเจ้าแห่ง Supply-chain ก็ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด ดังนั้นเราจะ ต้องทำความเข้าใจถึงศักยภาพของอินเทอร์เน็ตและสร้างความมั่นใจให้ได้ว่า ธุรกิจของเรามีความพร้อมที่จะรองรับกระแสการปฏิวัติจากอินเทอร์เน็ต ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้
แน่นอนว่าธุรกรรมบนอินเทอร์เน็ต ไม่อาจทดแทนการซื้อขายทำธุรกิจในรูปแบบเดิม ๆ ได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่มี รูปแบบทางธุรกิจใดที่สร้างรายได้จากทั่วทุกมุมโลกภายในเวลาสั้น ๆ ชั่วการวิ่งของอิเล็คตรอน ปัจจัยสำคัญจึงมิได้อยู่ เพียงแค่การเติบโตแบบบททวีของผู้ใช้งานเครือข่าย อินเทอร์เน็ต หากแต่อยู่ที่ความคาดหวังของผู้บริโภคจะได้รับต่างหาก ด้วยความเร็วและระบบที่เปิดกว้างของเครือข่ายผู้บริโภคย่อมคาดหวังในสิ่งที่ ตนจะได้รับทั้งในแง่ของ ความสะดวกสบาย ความเร็ว ราคา การให้บริการ ตลอดจนข้อมูลในการเปรียบเทียบซึ่งความคาดหวังเหล่านี้ได้สร้างมิติใหม่ที่ สร้างความสั่นสะเทือน ให้กับระบบเศรษฐกิจ และส่งผลกระทบให้กับแนวทางหรือรูปแบบการดำเนินธุรกิจของอุตสาหกรรมภาคต่าง ๆ ในขณะนี้
ประเด็นความคิดนอกกรอบสู่การเปลี่ยนแปลงแห่งรูปแบบการศึกษา (E-Learning)
ความคิดของบิลล์ เกตส์ นับ เป็นนวัตกรรมใหม่ด้านการศึกษา ด้วยการนำระบบคอมพิวเตอร์สมัยใหม่และทางด่วนข้อมูล ที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั่วโลกเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นการปฏิวัติระบบการ เรียนการสอนที่มีอยู่เดิม ถึงแม้ว่าเขาจะย้ำว่าห้องเรียนยังคงมีอยู่เหมือนเดิม เพื่อลดการต่อต้านด้านเทคโนโลยี แต่จากรายละเอียดที่เขานำเสนอ จะพบว่าการเรียนการสอนในอนาคตจะต้องมีแนวโน้ม เปลี่ยนไปมาก
เขาให้ความสำคัญกับการศึกษา โดยตระหนักถึงการนำระบบคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้กับการศึกษา เขาวาดฝันไว้ว่า โรงเรียนทุกแห่งจะปฏิวัติระบบการเรียนการสอนโดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โดยได้เสนอความเห็นในเรื่องการศึกษา ดังนี้
1. การเรียนมิได้มีเฉพาะในห้องเรียน บิลล์ เกตส์กล่าวว่าการเรียนไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียนและอยู่ภายใต้ การควบคุมกำกับของครูเท่านั้น ในโลกยุคปัจจุบันคนสามารถที่จะเรียนได้จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย โดยเฉพาะทางด่วนข้อมูล (Information Superhighway) ซึ่งกำลังจะมีบทบาทและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการจัดการศึกษาของมนุษย์
2. ผู้เรียนมีความแตกต่างระหว่าง บุคคล เขาได้อ้างทฤษฎีอาจารย์วิชาการศึกษาที่ว่า เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงจำเป็นจะต้องจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะเด็กแต่ละคนมีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ และการมองโลกแตกต่างกันออกไป
3. การเรียนที่ตอบสนองความต้องการรายคน เขามีความเห็นว่าการจัดการศึกษาที่สอนเด็กจำนวนมาก (Mass Production Education) โดย รูปแบบที่จัดเป็นรายชั้นเรียนในปัจจุบัน ไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของเด็กเป็นรายคนได้ แต่ด้วยพลังอำนาจและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ การเรียนตามความต้องการของแต่ละคน (Tailor-made Education) ซึ่งเป็นความฝันของนักการศึกษามานานแล้วนั้น สามารถจะเป็นจริงได้ โดยมีครูคอยให้การดูแลช่วยเหลือและแนะนำ
4. การเรียนโดยใช้สื่อประสม บิลล์ เกตส์ฝันว่าในอนาคตห้องเรียนทุกห้องจะมีสื่อประสม (Multimedia) จาก เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เด็กสามารถเลือกเรียนเรื่องต่าง ๆ ได้ตามความต้องการ ซึ่งในปัจจุบันได้มีบริษัทธุรกิจต่างๆ ผลิตสื่อประสมไว้มากมายหลายรูปแบบ และสอดคล้องกับเนื้อหาที่จะเรียน สื่อประสมจะเข้ามาในรูปของซีดีรอม (CD-Rom) บนทางด่วนข้อมูลโดยต่อเชื่อมโยงเข้ากับ Internet ที่เป็นระบบ World Wide Web ช่วยให้เด็กสามารถเห็นภาพ ฟังเสียง ดูการเคลื่อนไหว ฯลฯ และมีสถานการณ์สมมุติต่าง ๆ ที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้การแก้ปัญหาด้วยตนเองได้
5. บทบาทของทางด่วนข้อมูลกับการสอน ของครู ปัจจุบันครูต้องทำงานหนักเพื่อเตรียมการสอนตลอดเวลา แต่ด้วยระบบเครือข่ายทางด่วนข้อมูลจะทำให้ได้ครูที่สอนเก่งจากที่ต่าง ๆ มากมายมาเป็นต้นแบบ และสิ่งที่ครูสอนนั้นแทนที่จะใช้กับเด็กเพียงกลุ่มเดียวก็สามารถสร้าง Web Site ของตนหรือของโรงเรียนขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ออกไปให้โรงเรียนอื่นได้ใช้ด้วย ทางด่วนข้อมูลที่ทำให้สื่อสารระหว่างกันได้ (interactive network) จะช่วยปฏิวัติเรื่องการเรียนการสอนได้มาก
6. บทบาทของครูที่เปลี่ยนไป เขากล่าวว่า ครูจะมีหลายบทบาทหน้าที่คือ บทบาทที่ 1 ทำหน้าที่เหมือนกับผู้ฝึก (Coach) ของนักศึกษา คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ บทบาทที่ 2 เป็นเพื่อน (Partner) ของผู้เรียน บทบาทที่ 3 เป็นทางออกที่สร้างสรรค์ (Creative Outlet)ให้กับเด็ก และบทบาทที่ 4 เป็น สะพานการสื่อสารที่เชื่อมโยงระหว่างเด็กกับโลก ซึ่งอันนี้ก็คือบทบาทที่ยิ่งใหญ่ของครู ถ้าครูทำบทบาทอย่างนี้ได้ การเรียนการสอนจะมีความสนุกสนานขึ้นอย่างมาก
7. ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียน ครู และผู้ปกครอง ระบบทางด่วนข้อมูลคอมพิวเตอร์นี้จะช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างนัก เรียน ครู และผู้ปกครอง เช่น การส่ง E-mail จากครู ไปถึงผู้ปกครอง เพื่อรายงานผลการเรียนของนักเรียน ซึ่งแต่เดิมเป็นเรื่องที่ยาก จะต้องส่งเป็นจดหมายหรือต้องพบกัน แต่ในระบบใหม่จะสามารถส่ง E-mail ถึงกันได้ ทำให้สามารถคุยหรือสื่อสารกันได้ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ครู นักเรียน และผู้ปกครอง ด้วยความสามารถของคอมพิวเตอร์จะช่วยให้การจัดการศึกษาของเด็กง่าย และสะดวก และมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมากขึ้น
บทบาทที่บิลล์ เกตส์ ทำการส่งเสริมต่อระบบการศึกษา รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศของไทยโดย การให้ความร่วมมือในการส่งเสริมความได้เปรียบในการแข่งขันให้แก่ประเทศไทย จากแนวโน้มของเทคโนโลยีในอนาคต โดยไมโครซอฟท์ได้มีการลงทุนในด้านงบประมาณ บุคลากรและทรัพยากรต่าง ๆ คิดเป็นมูลค่ากว่า 140 ล้าน บาท ทั้งการจัดหาซอฟท์แวร์คุณภาพในราคาประหยัดให้สำหรับใช้กับคอมพิวเตอร์ใน โรงเรียนทั่วประเทศไทย ทั้งนี้เป็นสืบเนื่องจากการเยือนประเทศไทย วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2548 จะเห็นว่าคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทต่อระบบการศึกษาของประเทศเราเป็นอย่างมาก โดย เฉพาะระบบไมโครคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีคุณภาพได้มาตรฐานมากขึ้น แต่ราคาต่ำพอที่โรงเรียนต่างๆ จะจัดหามาใช้ได้ โดยความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในงานด้านต่างๆนั้น เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า คอมพิวเตอร์ได้เข้ามาสู่ระบบการศึกษาและการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบมากขึ้น สถานศึกษาจำนวนไม่น้อยที่จัดหาคอมพิวเตอร์มาใช้งานในสถานศึกษา ทั้งในด้านการบริหารงานและในกิจกรรมการเรียนการสอนกันมากขึ้น โดยจัดร่วมกับระบบการสื่อสารในรูปแบบและลักษณะต่างๆ ที่เรียกว่า เทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประโยชน์ที่ผู้เรียนได้เรียนได้รับอย่างชัดเจนคือได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และในขณะที่ผู้สอนก็ได้ใช้ทรัพยากรนี้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนการ สอนอย่างมีประสิทธิภาพ
ประเด็นการช่วยเหลือและสนับสนุนทางด้านการศึกษา
บิลล์ เกตส์ บริจาคทุนการศึกษาแก่สถาบันการศึกษาทั่วโลกที่ขาดแคลนเงิน และมีการให้ทุนวิจัยเพื่อป้องกันและรักษาโรคเอดส์ โดยในระยะเวลาเพียงแค่ 6 ปีมูลนิธิของเกตส์และภรรยามียอดบริจาคเงินช่วยเหลือคนทั่วโลกไปแล้วกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ1ล้านล้านบาท
ประเด็นด้านการตระหนักถึงสุขภาพที่ดีของเพื่อนร่วมโลกโดยการต่อต้านการสูบบุหรี่
บิลล์ เกตส์และไมเคิล บลูมเบิร์ก ร่วมลงทุนกว่า 500 ล้าน ดอลลาร์เพื่อต่อต้านการสูบบุหรี่ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลนานาประเทศใช้มาตรการอย่างเป็นรูปธรรมในการลดการสูบ บุหรี่เพื่อรักษาชีวิตของผู้คนทั่วโลก โดยการช่วยให้รัฐบาลของประเทศกำลังพัฒนาสามารถกำหนดนโยบายและเพิ่มงบประมาณ ในการควบคุมการสูบบุหรี่ในประเทศของตนได้ จากการศึกษาพบว่าหากไม่มีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ผู้คน 1 พันล้านคนหรือกว่า 2 ใน 3 ของ ประชากรในประเทศกำลังพัฒนา อาจเสียชีวิตจากโรคภัยไข้เจ็บที่มีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ได้ ทั้งนี้ พอลล่า จอห์นส์ กรรมการบริหารพันธมิตรเพื่อการควบคุมการสูบบุหรี่แห่งบราซิล และ ชาร์ลี โรส ผู้สื่อข่าวชื่อดัง ต่างก็มีส่วนร่วมกับบลูมเบิร์ก และ เกตส์ ในการประกาศปณิธานดังกล่าวเช่นกัน
ขณะเดียวกันมูลนิธิ บิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ (The Bill and Melinda Gates Foundation) ก็ ประกาศลงทุนมูลค่า 125 ล้านดอลลาร์ในโครงการต่อต้านการสูบบุหรี่เป็นระยะเวลา 5 ปี พร้อมบริจาคเงิน 24 ล้านดอลลาร์ให้กับโครงการบลูมเบิร์ก นอกจากนั้นมูลนิธิเกตส์ยังสนับสนุนความพยายามในการลดอัตราการสูบบุหรี่ใน ประเทศจีนและอินเดีย รวมถึงช่วยป้องกันมิให้การสูบบุหรี่แพร่หลายในแอฟริกาด้วย
“โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากการสูบบุหรี่ถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายที่สุดสำหรับประเทศกำลังพัฒนา” บิลล์ เกตส์ ประธานร่วมของมูลนิธิเกตส์ กล่าว “แต่ อย่างน้อยเราก็มีวิธีป้องกันมิให้โรคร้ายดังกล่าวคร่าชีวิตผู้คนหลายล้านคน และปัจจุบันก็มีหลายฝ่ายที่กำลังพยายามอย่างหนักในการแก้ปัญหาดังกล่าวเรา รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้การสนับสนุนนายกเทศมนตรีบลูมเบิร์ก ผู้ที่ต่อสู้กับการสูบบุหรี่ในมหานครนิวยอร์กและทั่วโลกมาโดยตลอด” บลูม เบิร์ก และ เกตส์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลและผู้นำทางธุรกิจร่วมกันต่อต้านการสูบบุหรี่ด้วยการ ช่วยเพิ่มช่องทางในการควบคุมการสูบบุหรี่และสนับสนุนนโยบายเพื่อลดการสูบ บุหรี่ ทั้งนี้ องค์การอนามัยโลกเปิดเผยว่า ประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางซึ่งมีประชากรร่วม 3.9 พันล้านคน มีค่าใช้จ่ายในการควบคุมการสูบบุหรี่รวมกันไม่ถึง 20 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทั้งที่มีการเก็บภาษีบุหรี่ได้กว่า 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์
มหานครนิวยอร์กประกาศตัวเป็นเมืองปลอดบุหรี่เมื่อปี พ.ศ.2545 ซึ่ง ในขณะนั้นมีเพียงรัฐเดียวในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดบุหรี่ และไม่มีประเทศใดในโลกเลยที่ปลอดบุหรี่ แต่ในปัจจุบันหลายรัฐในสหรัฐอเมริกาและหลายประเทศเริ่มประกาศตัวเป็นพื้นที่ ปลอดบุหรี่ ในขณะเดียวกันความสำเร็จในการต่อต้านการสูบบุหรี่ก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก
ลักษณะนิสัยและวิธีการทำงานของบิลล์ เกาต์ที่ส่งเสริมให้เขาประสบความสำเร็จ
ความรักครอบครัว
สิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยส่งเสริมเขาให้สามารถมายืนถึงจุดนี้ได้นั้นก็คือ“ครอบครัว” ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือวันหนึ่งขณะที่ บิลล์ เกตส์ได้จัดงานวันเกิดให้กับลูกสาวอายุ 5 ขวบ เขาถามลูกว่า ลูกอยากได้อะไร บอกพ่อมา หุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ พ่อจะสั่งลูกน้องสร้างให้ลูกเป็นพิเศษ หรือ ลูกสุนัขตัวสวยงามหรือจะไปเที่ยวรอบโลก พ่อก็จะพาไป แต่ลูกสาวตอบว่า ไม่ต้องการอะไรเลย นอกจากตัวของคุณพ่อ อยากให้พ่อกลับบ้านเร็วๆมาสอนหนูทำการบ้าน มาเล่นกับหนู และ เล่านิทานให้หนูฟังก่อนนอน หนูก็พอใจแล้ว
เมื่อ บิลล์ เกตส์ ได้ฟังดังนั้นเขาน้ำตาคลอเบ้า กอดลูกไว้แน่น จากนั้นเขาได้ออกระเบียบให้พนักงานบริษัทไมโครซอฟท์ที่มีลูกทุกคนเลิกงาน ก่อนหกโมงเย็นเพื่อกลับบ้านไปใช้เวลากับลูก ส่วนตัวเขาเองต้องกลับบ้านก่อน 6 โมง เย็นทุกวัน ใช้เวลากับลูกสาวที่เขารักมากที่สุด หลายครั้งเรามักคิดว่า งานสำคัญกว่าลูก เราทำงานจนไม่มีเวลาสำหรับครอบครัว สำหรับลูก ลูกคือของขวัญและรางวัลจากพระเจ้า
การมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
บิลล์ เกตส์ได้เดินตามวิสัยทัศน์ของเขาตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของไมโครซอฟท์ ด้วยความคิดว่า… “คอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานทุกแห่งและในบ้านทุกหลัง”
การใช้ชีวิตด้วยความอดทนไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก
นอกจาก บิลล์ เกตส์ จะมีมันสมองของ อัจฉริยะแล้วเค้ายังมีร่างกายพิเศษที่ได้มาจากพ่อแม่ คือแม้จะไม่ได้หลับได้นอนเป็นเวลานานๆ แต่ร่างกายของ เขาทนทานต่อการหักโหมได้ ไม่เฉพาะในระหว่างอยู่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่เขาหักโหมร่างกายโดยการเล่น ไพ่ และอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ตลอดวันตลอดคืน ซึ่งในระหว่างการสร้างบริษัทไมโครซอฟท์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งพนักงาน ที่เข้ามาทำงานในตอนเช้าจะพบเขานอนหลับอยู่กับพื้นห้องเพราะเขาทำงานจนดึก ดื่นทุกคืน และบางครั้งไม่ยอม เสียเวลาเดินทางกลับบ้าน เมื่อง่วงจัดจนทนไม่ไหวจริงๆ เขาก็ลงนอนหลับกลิ้งอยู่บนพื้นห้องทำงาน
ทุกการทำ งานของบิลล์ เกตส์ ถึงแม้ว่าจะพบเจอกับอุปสรรคนานัปการ แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เขาจะตั้งสติแล้วค่อยหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อการแก้ไขปัญหาของเขาเป็นแรงผลักดันให้เขา แก้ไขปัญหาได้สำเร็จ
การรับฟังความคิดเห็นและให้เกียรติพนักงานทุกคน
จากแนวคิดของบิลล์ เกตส์ ที่ว่า “คนฉลาดควรมีอำนาจขับเคลื่อนความคิดรีเริ่ม” เขา จึงมุ่งสร้างบริษัทไมโครซอฟท์ ให้เป็นองค์กรแห่งปัญญา โดยการเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลของบริษัทได้อย่างทั่วถึง ให้ได้รับการฝึกให้รู้จักวิเคราะห์ ตีความ และนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นพนักงานไมโครซอฟท์ ยังมีช่องทางในการเสนอความคิดเห็นโดยตรงต่อผู้บริหารทุกระดับ ซึ่งผู้บริหารในบริษัทต้องมีใจกว้างพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน บิลล์ เกตส์ มองว่าในภาวะเช่นนั้น ทุกส่วนขององค์กรจะทำงานร่วมกัน เป็นปึกแผ่นเสมือนมันสมองก้อนใหญ่อันชาญฉลาด และปราดเปรียว
บิลล์ เกตส์ เองทำตัวเป็นตัวอย่างในการขับเคลื่อนบริษัทฯ โดยการเปิดโอกาสให้พนักงานของบริษัททุกคนส่งข่าว และความคิดเห็นไปถึงเขาทางอีเมลล์ได้ตลอดเวลาไม่ว่า ข่าวร้ายหรือความคิดใหม่ๆ ซึ่งแย้งกับเขา ยิ่งเป็นข่าวร้ายเขายิ่งต้องการได้รับเร็วที่สุด ความใจกว้าง ถ่อมตน และยืดหยุ่นได้ ของบิลล์ เกตส์ เป็นที่รู้กันทั่วไปในไมโครซอฟท์
การมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจ (Strategy)
เห็นได้จากการที่ไมโครซอฟท์สามารถประมูลงานในการพัฒนาซอฟท์แวร์ให้กับ IBM ซึ่งตอนนั้นบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักและยังต้องแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์มากมาย
ชอบการเคลื่อนไหวตลอดเวลา
บิลล์ เกตส์เป็นคนที่มองโลกตามที่มันเป็นจริงและพยายามคิดที่จะขายอะไรก็ได้ให้โลกทั้งโลก
เป็นคนที่ไม่กลัวความเสี่ยง
เมื่อบิลล์ เกตส์ต้องวิเคราะห์และแสวงหาวิธีการทางธุรกิจในแบบฉบับของตนเอง เกตส์เป็นคนที่สุขุมยิ่งนักเมื่อต้องเผชิญกับความเสี่ยง
เป็นผู้ที่มีเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจน
บิลล์ เกตส์ ให้ความสำคัญกับเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กรมากที่สุดดังนั้นในทุกวินาทีเค้า จึงพยายามหาหนทางเพื่อทำให้เป้าหมายดังกล่าวเกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ความสำเร็จของเกตส์ส่วนหนึ่งจึงเกิดจากความกล้าที่จะสู้กับทุกอย่าง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดให้ได้ ในทุกวินาทีเค้าจึงพยายามหาหนทางเพื่อทำให้เป้าหมายดังกล่าวเกิดเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ความสำเร็จของเกตส์ส่วนหนึ่งจึงเกิดจากความกล้าที่จะสู้กับทุกอย่างเพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในตลาดให้ได้
เป็นนักปฏิบัติอย่างแท้จริง
บิลล์ เกตส์จะไม่ยอมปล่อยให้อารมณ์เข้ามามีผลต่อการตัดสินใจ แต่กลับเป็นคนที่พิจารณาความสมเหตุสมผลเป็นที่ตั้งโดยมีเป้าหมายทางธุรกิจ เป็นสำคัญ
ชอบพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
คิดว่าโลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาดังนั้นคนที่หยุดนิ่งอยู่กับที่จะไม่สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้ เป็นคนที่พยายามลองทำในสิ่งใหม่ๆเสมอเมื่อมีโอกาสและความพร้อม เป็น คนที่เชื่อว่าคนเราไม่ได้ประสบความสำเร็จกันในครั้งแรกที่ลงมือทำ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสก็จะลงมือทำถึงแม้ว่าสิ่งนั้นจะมีความเสี่ยงก็ตาม โดยคิดว่าถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จแต่สิ่งหนึ่งที่ได้รับ คือ ประสบการณ์และเมื่อมีประสบการณ์เราก็มีมุมมองที่กว้างขึ้น โอกาสผิดพลาดก็น้อยลงในที่สุดความสำเร็จก็ต้องรออยู่ข้างหน้า
ชอบการเจรจาต่อรอง
เนื่องจากทำให้ได้พัฒนาทักษะในการโน้มน้าวจิตใจคน ได้เรียนรู้วิธีการในการเอาชนะใจคนและการสร้างความสัมพันธ์อันดีเพื่อโอกาสในอนาคต
มองโลกในแง่ดี
ถึงแม้ว่าจะประสบปัญหาหรืออุปสรรคบิลล์ เกตส์ จะถูกสอนให้หัวเราะทุกครั้งที่เจ็บปวด ยิ้มรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น
ทำธุรกิจด้วยความสนุก
ปรัชญา การทำธุรกิจด้วยความสนุกนั้น เป็นสิ่งที่บิลล์ เกตส์เน้นอยู่เสมอ เพราะการทำธุรกิจเป็นสิ่งที่ต้องผูกพัน เราต้องใช้เวลาอยู่กับมัน ถ้าทำธุรกิจโดยเน้นแต่การกอบโกยเงินหรือผลประโยชน์เข้าหาตนเองแล้วนั้นเราก็ จะทำธุรกิจนั้นไม่ได้นานและไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
การมีหัวใจที่ “ไม่ยอมพ่ายแพ้“
หลังจากที่บิลล์ เกตส์ ได้ประกาศสละตำแหน่งประธานกรรมการของบริษัทไมโครซอฟท์ให้แก่ สตีฟ บาล์มเมอร์ ทำ ให้หลายฝ่ายพยายามขุดคุ้ยหาสาเหตุที่แท้จริงของการสละตำแหน่งครั้งนี้ ว่าเป็นกลยุทธ์หนึ่งเพื่อตอบโต้การฟ้องคดีการผูกขาด กีดกันการค้าเสรีของรัฐบาล หรือเป็นเพราะเกตต์ต้องการทำเช่นนี้มานานแล้วจริง
ถ้าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองจริง สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือแนวความคิดของทั้งเกตต์ และบาล์มเมอร์ที่ยืนกรานคัดค้านการแตกไมโครซอฟท์ออกเป็นบริษัทย่อย ทั้งคู่เรียกวิธีการนี้ว่า เป็นสิ่งที่ “ขาดการไตร่ตรองและไม่รับผิดชอบ“ คำ พูดนี้เราได้ยินมาแล้วตั้งแต่เมื่อครั้งที่พวกเขาออกมาประกาศต่อสื่อมวล ชนหลังจากฟังคำพิพากษาของผู้พิพากษา โธมัส เพนฟิลด์ แจ็คสัน และเมื่อครั้งที่บาล์มเมอร์ประกาศหลังจากรับตำแหน่งประธานบริษัทและอีกครั้ง เมื่อเกตส์ให้สัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์รายการหนึ่ง เป็นไปได้ว่าคงมีคนเขียนสคริปต์ให้พวกเขาพูดแน่นอน
สิ่งที่ รัฐบาลโดยกระทรวงยุติธรรมและบรรดาอธิบดีกรมอัยการทั้งหลายได้ร่วมกันต่อสู้ คดีความเอาชนะไมโครซอฟท์ในครั้งนี้ ว่าไปแล้วก็คงเป็นเรื่องของความพยายามสร้างภาพให้ดูเหมือนอเมริกาเป็นประเทศ ที่มีการค้าเสรีที่สุดอะไรทำนองนั้น และถ้าเปรียบเทียบคดีไมโครซอฟท์กับคดีในลักษณะเดียวกันนี้ เช่นคดีของจอห์น ดี ร็อคกี้เฟลเลอร์ พวกเขาทำได้น่าตื่นเต้นกว่ามาก แต่ก็ไม่แน่ว่าผู้คนจะสนใจเรื่องนี้ไปอีกนานแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อฤดูกาลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งหน้ามาถึง ผู้คนก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ดูเหมือนเกตส์จะเหน็ดเหนื่อยต่อเรื่องคดีทางการเมืองครั้งนี้เสีย แล้ว เขาจึงให้บาล์มเมอร์เข้ามาช่วยกอบกู้สถานการณ์แทน โดยเกตส์หันไปรับหน้าที่ประธานฝ่ายสถาปัตยกรรมซอฟต์แวร์แทน เพื่อ จะได้ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องเหล่านี้ ใช้เวลาคิดและสร้างซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ดีกว่า ซึ่งจากการตัดสินใจของเกตส์ครั้งนี้ ทำให้เรามองเห็นแล้ว เขาคือผู้ที่มองไปยังอนาคตข้างหน้าจริงๆ ไม่ใช่มหาเศรษฐีที่เมื่อได้รับความพ่ายแพ้ แล้วก็ยอมทิ้งทุกอย่างไป เราคงต้องปล่อยให้บรรดาทนายความมืออาชีพที่ไม่ได้เป็นผู้สร้างสรรค์อะไรเลย จมอยู่กับกฎหมายคร่ำครึที่ใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่19 ทั้งๆ ตอนนี้โลกก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 แล้ว
ในตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว เกตส์ ได้แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่า เขาเป็นผู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เกตส์พยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่ดูเหมือนว่าเขาได้กำลังก้าวไปสู่ศตวรรษที่ 21 แล้ว บางทีเกตส์อาจจะเป็นอัลเบิร์ต ไอสไตน์คนต่อไปของโลก หรือถ้าหากเขาไม่ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ อีกแล้วก็ตาม ก็ยังรับประกันได้ว่า ผู้ชายที่แน่วแน่คนนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีบทบาทต่อวงการนี้อีกนานเท่านาน ตราบเท่าที่ฝ่ายดูแลการผูกขาด ของกระทรวงยุติธรรมจะยอมเลิกราคดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ไปเอง
การมีจุดยืนที่ชัดเจน
บิลล์ เกตส์เน้นย้ำและเคร่งครัดในสิ่งที่ตัวเขาถนัดและสามารถทำได้ดีอยู่ตลอดเวลา นั่นคือการพัฒนาซอฟท์แวร์
การเรียนรู้เพื่อความอยู่รอด
บิลล์ เกตส์ได้ทำการสร้างกลไกการเรียนรู้อย่างเปิดกว้างในไมโครซอฟท์ โดยเขาเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับการหลีกเลี่ยงภาวะอิ่ม ตัว รวมไปถึงการป้องกันความผิดพลาดที่ดีที่สุด
การมองรอบด้าน ศึกษากลยุทธ์ของคู่แข่งเพื่อนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ของตน
ทำไมไมโครซอฟท์ถึงอยากได้ “ยาฮู”? คำตอบอย่างง่ายก็คือ เพื่อผลประโยชน์ในทางธุรกิจ เพื่อรุกคืบเข้ามาสร้างส่วนแบ่งของตลาดโฆษณาบนอินเตอร์เน็ต มูลค่า 40, 000 ล้านดอลลาร์ต่อปี ที่นับวันจะขยายตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเหลือหลาย และจากผลวิจัยของไมโครซอฟท์คือ ตลาดโฆษณาบนอินเตอร์เน็ตมีแนวโน้มจะบูมต่อเนื่องและมูลค่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัว คือราว 80,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2010 ที่จะถึงนี้ เป้า หมายระยะสั้นของไมโครซอฟท์ก็คือ ผนึกรวมเสิร์ชเอ็นจิ้น เอ็มเอสเอ็น เข้ากับยาฮูให้กลายเป็นคู่แข่ง เป็นทางเลือกที่ทรงพลังนอกเหนือจากกูเกิ้ล ในโลกของการสืบค้นผ่านอินเตอร์เน็ตในขณะนี้กูเกิ้ลครองส่วนแบ่งของตลาดการ สืบค้นในสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ 56.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ารวมทั่วโลกแล้ว กูเกิ้ล ครองตลาดอยู่สูงถึง 75 เปอร์เซ็นต์ ยาฮู เป็นเพียงยักษ์เล็กที่อยู่ใต้เงาของกูเกิ้ลในโลกออนไลน์ ด้วยส่วนแบ่งเพียงแค่ 17.7 เปอร์เซ็นต์ แม้ว่าในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้หลายประเทศ ยาฮู จะเอาชนะกูเกิ้ลได้ก็ตามที ไมโครซอฟท์ พยายามนักหนาที่จะเติบใหญ่เป็นยักษ์บนโลกไซเบอร์เคียงคู่กับกูเกิ้ลมานาน แล้ว แผนแรกที่ล้มเหลวไม่เป็นท่าก็คือ ความพยายามที่จะเติบใหญ่ตามธรรมชาติ เพราะจนถึงขณะนี้ เอ็มเอสเอ็นยังเป็นได้เพียงแค่อันดับ 3 ที่ห่างไกลอย่างมาก แผนสองเมื่อแผนแรกล้มเหลวก็คือ การจับเอาเบอร์ 2 กับเบอร์ 3 มารวมกันเพื่อจัดการกับยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิ้ล แม้ถึงขณะนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ แต่เค้าก็กำลังดำเนินความพยายามอยู่
การฟังความคิดเห็นจากคนรอบข้าง
บิลล์ เกตส์ ได้กล่าวว่า “คนฉลาดควรมีอำนาจขับเคลื่อนความคิดรีเริ่ม” เขา จึงมุ่งสร้างบริษัทไมโครซอฟท์ ให้เป็นองค์กรแห่งปัญญา โดยการเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลของบริษัทได้อย่างทั่วถึง ให้ได้รับการฝึกให้รู้จักวิเคราะห์ ตีความ และนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นพนักงานไมโครซอฟท์ ยังมีช่องทางในการเสนอความคิดเห็นโดยตรงต่อผู้บริหารทุกระดับ ซึ่งผู้บริหารในบริษัทต้องมีใจกว้างพอที่จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคน บิลล์ เกตส์ มองว่าในภาวะเช่นนั้น ทุกส่วนขององค์กรจะทำงานร่วมกัน เป็นปึกแผ่นเสมือนมันสมองก้อนใหญ่อันชาญฉลาด และปราดเปรียว
นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้า
การทำธุรกิจของบิลล์ เกตส์ไม่ได้เน้นที่กำไรที่ได้รับเพียงอย่างเดียว แต่เขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ลูกค้าได้รับ ลูกค้าจะต้องได้รับสินค้าและบริการที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะให้ได้ ซึ่งทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจ มีฐานลูกค้าที่ภักดี เกิดเป็นชื่อเสียงของ Microsoft ที่มั่นคง
ให้ความสำคัญกับพนักงานในองค์กร
บิลล์ เกตส์มักใช้เวลาตอนดึกๆ ตอบอีเมล์ของพนักงาน นอกจากนั้นเขายังมักพาพนักงานออกไปใช้เวลานอกสำนักงานเพื่อช่วยกันระดมสมอง เขาจะไม่ถือสาถ้าพนักงานไม่เห็นด้วยกับมุมมองของเขาและยินดีจะเปลี่ยนใจนำ ข้อเสนอของพนักงานไปใช้ หากข้อเสนอนั้น เหนือชั้นกว่า ความใจกว้างนี้มีผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ในไมโครซอฟท์เสมอ
ความไม่หลงในชื่อเสียงบิลล์ เกตส์ และภรรยา ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาเมื่อปี 2543 ในช่วงเวลา 8 ปีเขาทั้งสองได้สละทรัพย์สินส่วนตัวให้มูลนิธิ แล้ว 34, 000 ล้านดอลลาร์ และอภิมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเขาก็ได้ร่วมบริจาคสมทบอีก 3,360 ล้านดอลลาร์ และจะบริจาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกราว 30,000 ล้านดอลลาร์ ทรัพย์สินกองนี้เป็นเสมือนต้นทุนที่มูลนิธิ จะนำมาหมุนหาดอกผลเพื่อนำไปใช้ในโครงการการกุศลทั่วโลก ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิใช้ดอกผลไปใน โครงการการกุศลต่างๆ แล้ว 16,500 ล้านดอลลาร์ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอีกกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และแล้ววันที่ 27 มิถุนายน 2008 บิลล์ เกตส์ ตัดสินใจเกษียณตัวเองจากงานเต็มเวลาในบริษัทไมโครซอฟท์ด้วยอายุ 52 ปี กับ 8 เดือน และจากวันนี้ไปเขาจะทำงานให้ไมโครซอฟท์เพียงสัปดาห์ละ 1 วัน ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะทำงานให้มูลนิธิเพื่อ การกุศล เพื่อสังคมต่อไป เเละนั่นคือความต้องการที่เค้าต้องการทำเพื่อสังคมโดยไม่ได้ยึดติดอยู่กับ ชื่อเสียงในวงการธุรกิจอย่างที่ผ่านมา
รู้จักจุดประกายความคิดและทำให้ความคิดนั้นออกมาเป็นรูปธรรมในโลกแห่งการค้า
บิลล์ เกตส์มีความเชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่มีอยู่แล้วในตัวของมันเองในทุกหนแห่ง เพียงแต่ว่าใครจะสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ด้วยวิสัยทัศน์เท่านั้น
บิลล์ เกตส์มีความเชื่อว่าคำตอบส่วนใหญ่มีอยู่แล้วในตัวของมันเองในทุกหนแห่ง เพียงแต่ว่าใครจะสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้ด้วยวิสัยทัศน์เท่านั้น
การเตรียมตัวให้พร้อมเสมอและไขว่คว้าเมื่อโอกาสมาถึง
บิลล์ เกตส์เป็นตัวอย่างที่ดี จากการที่เขารู้ว่าระบบปฏิบัติการที่พัฒนาให้กับ IBM นั้น จะเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ได้ ทำให้เขาใช้เวลาทำงานยาวนานกว่า 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าโอกาสเมื่อมันมาถึงจะต้องตกเป็นของไมโครซอฟท์อย่างแน่นอน
บิลล์ เกตส์เป็นตัวอย่างที่ดี จากการที่เขารู้ว่าระบบปฏิบัติการที่พัฒนาให้กับ IBM นั้น จะเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (PC) ได้ ทำให้เขาใช้เวลาทำงานยาวนานกว่า 6 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่าโอกาสเมื่อมันมาถึงจะต้องตกเป็นของไมโครซอฟท์อย่างแน่นอน
การให้ความสำคัญกับการสื่อสารภายในองค์กร
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไม Microsoft ถึงเติบโตอย่างทุกวันนี้ เพราะบิลล์ เกตส์ กล่าวว่า “ไม่มีวันไหนเลยที่ผมจะไม่ส่งอีเมลล์ถึงพนักงานเพราะนั่นคืองานของผม”
ตัวอย่างอีเมลล์ที่บิลล์ เกตส์ ส่งถึงลูกน้องเมื่อ 5 ปีก่อน เพื่อต่อว่าการทำงานที่ย่ำแย่ของเว็บไซต์ Microsoft อีกด้วย ลองมาดูตัวอย่างอีเมลล์ฉบับหนึ่งที่เขาส่งในปี 2003 หรือ 5 ปีก่อน ซึ่งอาจทำให้เห็นบุคลิกเฉพาะตัวและการทำงานของบิลล์ เกตส์ ได้ดียิ่งขึ้น
“ผมค่อนข้างผิดหวังที่การใช้งาน Windows ดู เหมือนจะถอยหลังลงคลองมากขึ้นทุกวัน และกลุ่มที่ทำงานด้านบริหารจัดการโปรแกรมก็ไม่ยกเรื่องนี้มาถกเป็นปัญหากัน เสียที ผมจะยกตัวอย่างสิ่งที่ผมเจอเมื่อวานนี้แล้วกัน ผมต้องการดาวน์โหลดโปรแกรมMoviemaker และซื้อชุดโปรแกรม Digital Plus ผมก็เลยเข้าไปที่เว็บไซต์ Microsoft.com แล้วก็ไปที่หน้าดาวน์โหลด แต่ปรากฏว่า 5 ครั้งแรก ผมเข้าไปที่หน้าดาวน์โหลดไม่ได้ เพราะเว็บค่อนข้างช้าและแจ้งว่าหมดเวลาการใช้งาน (time out) แต่สุดท้ายผมก็พยายามเข้าไปจนได้ เมื่อเข้าไปได้แล้ว โปรแกรม Moviemaker ไม่ได้อยู่ใน 5 อันดับแรกของโปรแกรมที่จะให้ดาวน์โหลด ผมก็เลยคลิกไปดูอีก 45 อันดับที่เหลือ แต่ก็ไม่เจอ จึงหันมาลองใช้ระบบกรองคำค้นหา โดยใช้คำว่า Media…ไม่เจอ / movie…ยังไม่เจอ/ movie maker…ไม่พบอะไรเลย ผมหมดความอดทน จึงอีเมลล์ไปหา Amir ถามว่าโปรแกรม Moviemaker ที่จะให้ดาวน์โหลดอยู่ที่ไหน มันมีอยู่ในเว็บหรือเปล่า เขาตอบว่าให้ผมเข้าไปที่หน้าแรกของเว็บ และพิมพ์คำว่า movie maker (ไม่ใช่ moviemaker) ลงในช่อง search ผมจึงลองดู แล้วก็พบว่าเว็บนี้ช้าอย่างน่าสมเพช มันใช้เวลาถึง 6 วินาทีในการค้นหา พอหาเจอแล้วผมก็หวังว่าจะมีปุ่มให้ดาวน์โหลดเสียที แต่ปรากฏว่าระบบบอกให้ไปที่หน้าWindows Update ก่อน เพื่อลง hot fix และอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ฯลฯ”
มองการณ์ไกล มองต่างมุม
บิลล์ เกตส์ชอบจ้างผู้ประกอบการที่เคยล้มเหลวมาก่อนมาเป็นผู้บริหารระดับสูงของ ไมโครซอฟท์ เหตุผลง่าย ๆ ก็คือ มีแต่ผู้ที่เคยล้มเหลวเท่านั้นที่รู้ดีว่าเส้นทางของความล้มเหลวมีรูปร่าง หน้าตาอย่างไรและความล้มเหลวนั้นเจ็บปวดเพียงใดด้วยประสบการณ์ดังกล่าวจะทำ ให้เขาไม่นำพาองค์กรไปในเส้นทางนั้นอีก
ยอมรับในความผิดพลาดของตนเองในการบริหารงาน
หากมีสิ่งใดที่เขาทำผิดพลาดแล้ว เขาก็จะยอมรับว่าตนเองทำผิดพลาดและพร้อมที่จะแก้ไขซึ่งคนส่วนมากมักจะไม่ยอมรับในความผิดพลาดของตนเอง
มีมุมมองเฉพาะในการคัดเลือกบุคลากร
เค้าเลือกที่จะคัดเลือกพนักงานที่เคย ล้มเหลวในการทำงานมาก่อน เพราะ เค้าถือว่าบุคคลเหล่านั้นมีประสบการณ์จากความล้มเหลวมาแล้ว จึงทำให้สามารถใช้บทเรียนเหล่านั้นในการบริหารเพื่อที่จะไม่ให้เกิดความล้ม เหลวขึ้นอีก เพราะคนที่ไม่เคยเผชิญหน้ากับความล้มเหลว จะไม่มีวันรู้จักมันมาก่อน เค้าคิดว่าความเก่งนั้น สามารถสร้างได้จากการฝึกฝน แต่ประสบการณ์แห่งความล้มเหลวนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากประสบการณ์จริงและคน ที่เคยพบเจอมาแล้วจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นมาอีก
การช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
บิลล์ เกตส์ และภรรยา ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาเมื่อปี 2543 ในช่วงเวลา 8 ปีเขาทั้งสองได้สละทรัพย์สินส่วนตัวให้มูลนิธิ แล้ว 34, 000 ล้านดอลลาร์ อภิมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเขาได้บริจาคสมทบอีก 3,360 ล้านดอลลาร์ และจะบริจาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกราว 30,000 ล้านดอลลาร์ ทรัพย์สินกองนี้เป็นเสมือนต้นทุนที่มูลนิธิ จะนำมาหมุนหาดอกผลเพื่อนำไปใช้ในโครงการการกุศลทั่วโลก ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิใช้ดอกผลไปใน โครงการการกุศลต่างๆ แล้ว 16,500 ล้านดอลลาร์ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอีกกว่า 100 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความเป็นสุดยอดของบิลล์ เกตส์ที่โลกทั้งโลกต้องยกย่องและคารวะให้อย่างหมดใจนั้น มิได้อยู่ที่ตัวเลขความร่ำรวย หรือความเป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจ แต่อยู่ตรงที่ความเป็นคนที่มีมนุษยธรรม มีหัวใจแห่งความเมตตา และมีปรัชญาการดำรงชีวิตที่ดีงาม นอกจากเค้าจะตระหนักในความโชคดีของตนเองและรู้จักพอเพียงแล้วเค้ายังอุทิศ กำลังกาย กำลังสมองและกำลังทรัพย์ส่วนหนึ่ง เพื่อ ช่วยกันขจัดปัญหาใหญ่ๆ ในชุมชนซึ่งตนอาศัยอยู่ ชุมชนนั้นอาจเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือชุมชนขนาดใหญ่ในระดับประเทศและระดับโลกซึ่งสิ่งเหล่านี้เค้าถือว่าเป็น การตอบแทนสังคม อันเป็นการแสดงถึงความมีคุณธรรมและจริยธรรมของมหาเศรษฐีของโลกคนนี้ ซึ่ง สมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง เค้าแสดงให้เห็นว่าความร่ำรวยไม่ใช่ที่สุดในชีวิต แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือสังคมโดยไม่มีการแบ่งสีผิว หรือชนชั้นใดๆ ทั้งสิ้น โลกใบนี้จะไม่มีใครลืมเค้า “อภิมหาเศรษฐีที่รู้จักคำว่าพอเพียง“
By Phatrsamon Rattanangkun
No comments:
Post a Comment