.

Apr 28, 2009

Globalization as the End and the Beginning of History

Globalization as the End and the Beginning of History

Arif Dirlik - Globalization as the End and the Beginning of History - The contradictory implications of a new paradigm

Foreword

This report has been prepared by the Global Risk Network for the Inaugural Annual Meeting of the New Champions (Dalian, People’s Republic of China, 6-8 September 2007). In preparing this report, more than 30 experts from business, academia, and policy-making were asked to consider the recent period of unprecedented global growth: its drivers, its champions and the challenges facing the businesses, countries, regions and emerging leaders who will pilot growth for the next 10 years.


Globalization as the End and the Beginning of History

Barack Obama and Joe Biden's Rescue Plan for the Middle Class


Our country faces its most serious economic crisis since the great depression. We have lost 760,000 jobs this year and some leading forecasters project that the unemployment rate will exceed 8 percent by the end of 2009. Working families, who saw their incomes decline by $2,000 in the economic “expansion” from 2000 to 2007 now face even deeper income losses. Retirement savings accounts have lost $2 trillion. Markets have fallen 40% in less than a year. Millions of homeowners who played by the rules can’t meet their mortgage payments and face foreclosure as the value of their homes have plummeted. With credit markets nearly frozen,

Global Growth @ Risk

Global Risks Report 2009

The Global Risks Report 2009 of the World Economic Forum identifies deteriorating fiscal positions, a hard landing in China, a collapse in asset prices, gaps in global governance 

ทฤษฎีการพัฒนาการเมือง (Political Development)

โดย ภัทรษมน รัตนางกูร

นิยามของคำว่าการพัฒนาทางการเมือง (Political Development)

นิยามของคำว่าการพัฒนาการเมืองอย่างกว้างๆ คือ การเปลี่ยนแปลงชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสังคมโดยมีเป้าหมายที่แน่นอน จุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้อำนาจในการแจกจ่ายสิ่งที่มีคุณค่าให้กับสมาชิกในสังคมอย่างเป็นธรรมมากกว่าเดิม

ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าในการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อส่วนต่าง ๆ ของสังคม เช่นโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะในสังคมหนึ่ง ๆ นั้นย่อมไม่อาจสร้างเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างการเมือง เศรษฐกิจและสังคม หรือแยกไปพิจารณาแต่ละส่วนโดยไม่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันได้

พาย (Lucian W. Pye 1966, 33-45) เป็นนักรัฐศาสตร์อเมริกันที่สำคัญและเป็นประธานคณะกรรมการการเมืองเปรียบเทียบในการวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่ให้การสนับสนุนการศึกษาการพัฒนาการเมืองมาตั้งแต่แรกเริ่มในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 พาย ได้พยายามศึกษาวิเคราะห์ประเด็นต่าง ๆที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาการเมือง และพบว่ามีประเด็นที่สำคัญ ๆ มากมายและค่อนข้างสลับซับซ้อนกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก พาย จึงได้สรุปประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (มากกว่าที่จะให้นิยามหรือความหมายโดยตรง) กับการพัฒนาการเมืองไว้ 10 ประการซึ่งจะกล่าวในตอนต่อไป


สำหรับแนวความคิดทางการเมืองที่ใช้อ้างกันมากเพื่อการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ทางการเมืองในประเทศด้อยพัฒนาคือ แนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง (Political Development) หรือนักวิชาการบางท่านก็ใช้คำว่า การทำให้ทันสมัยทางการเมือง (Political Modernization) บางท่านก็ใช้ปนกันทั้งสองคำ มูลเหตุสำคัญที่ได้มีการใช้ศัพท์ดังกล่าววิเคราะห์และอธิบายปรากฎการณ์ทางการเมืองนั้น เนื่องจากว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศต่าง ๆ ซึ่งเคยเป็นประเทศในอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกได้รับเอกราช ประเทศเกิดใหม่เหล่านี้ก็ประสบปัญหาทางการเมืองต่าง ๆ มากมาย เกิดจากการรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งอำนาจกันระหว่างเผ่าพันธ์หรือกลุ่มการเมืองต่าง ๆ การล้มลุกคลุกคลานของระบบรัฐสภาในระบบประชาธิปไตย พร้อมกับการเข้ายึดอำนาจของทหารในรูปของการปฏิวัติรัฐประหาร ปรากฎการณ์ทางการเมืองดังกล่าวนั้น ย่อมมีการวิเคราะห์หาสาเหตุและนักวิชาการแขนงต่าง ๆ ก็ใช้วิชาที่ตนถนัดเป็นตัวแปรสำคัญในการเสาะหาสาเหตุ

นักเศรษฐศาสตร์ก็มองการไร้เสถียรภาพต่าง ๆ ในประเทศเหล่านี้ด้วยการเน้นที่ตัวแปรทางเศรษฐกิจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากการด้อยพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปัญหาความยากจนและการขาดเทคโนโลยีในการผลิต ทำให้สังคมประสบปัญหาต่าง ๆ ยากที่จะเกิดเสถียรภาพทางการเมืองขึ้นได้ ความเชื่อดังกล่าวนี้ยังครอบคลุมไปถึงสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สองด้วยว่าเกิดจากปัญหาหลักคือ ปัญหาเศรษฐกิจ

นักการศึกษาก็มองดูการล้มเหลวของการปกครองแบบประชาธิปไตยว่า มีสาเหตุมาจากการขาดการศึกษา ความโง่เขลาเบาปัญญาของประชากร และการขาดความรู้เรื่องการเมืองและสังคมซึ่งทำให้ไม่สามารถจรรโลงระบบการเมืองการปกครองแบบอารยะได้ นักสังคมวิทยาก็มองปัญหาดังกล่าวด้วยแว่นสีของตนว่า เกิดจากโครงสร้างทางสังคม ช่องว่างระหว่างความรวยความจน โครงสร้างอำนาจอันสืบเนื่องมาจากจารีตประเพณี ค่านิยมแบบถืออำนาจและบุคลิกภาพแบบเผด็จการ ฯลฯ

นักรัฐศาสตร์นั้นถ้าจะมองดูสภาพดังกล่าวมาว่ามีสาเหตุมาจากรัฐธรรมนูญก็พูดไม่สะดวกใจ เพราะหลายประเทศที่ประสบปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง มีรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องรัดกุมทุกประการมีการสร้างสถาบันทางนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ การใช้หลักการถ่วงดุลย์อำนาจ การตรวจสอบซึ่งกันและกันของสถาบันต่าง ๆ แต่ระบบประชาธิปไตยก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ผลสุดท้ายก็พยายามมองดูว่าปรากฎการณ์ความล้มเหลวของการสร้างระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยในประเทศด้อยพัฒนาเกิดจากการขาดการพัฒนาการเมือง ซึ่งเข้าใจว่าศัพท์คำว่า การพัฒนาการเมือง นี้ คงเลียนแบบมาจากการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่การใช้ศัพท์ดังกล่าวก็ตามมาด้วยคำถามว่า การพัฒนาการเมืองคืออะไร ซึ่งนักรัฐศาสตร์ในแขนงพฤติกรรมศาสตร์ต่างก็ตอบไปตามความถนัด ความเชื่อและความเข้าใจของตน บางคนก็พยายามแยกระหว่างคำว่า การพัฒนาการเมืองและการทำให้ทันสมัยทางการเมือง จนเกิดคำจำกัดความในแนวความคิดดังกล่าวมากมายซึ่งจะกล่าวต่อไป

นักวิชาการทางรัฐศาสตร์ได้เริ่มพูดถึงการพัฒนาการเมืองหรือทฤษฎีพัฒนาการเมืองตั้งแต่ต้นปี ค.ศ. 1960 โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์การเมืองของประเทศด้อยพัฒนาหรือกำลังพัฒนาซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจตะวันตก และเพิ่งจะได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สอง หนังสือที่เกี่ยวกับการเมืองในประเทศเหล่านี้ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นประเทศในโลกที่สาม คือ The Politics of the Developing Areas โดยมี Gabriel A. Almond และ James S. Coleman เป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยทฤษฎีหยิบยืมมาจากสำนักโครงสร้างและหน้าที่ (Structural functional Approach) ของมนุษยวิทยา จากนั้นก็มีตัวอย่างการเมืองของภาคต่าง ๆ ในโลก เช่น เอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เอเซียใต้ ลาตินอเมริกัน ฯลฯ โดยใช้กรอบวิเคราะห์ (Analytical Frame Work) อันเดียวกัน เจตนาก็เพื่อจะเปรียบเทียบโดยใช้กรอบวิเคราะห์หรือกรอบทฤษฎีเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการติดกับรูปแบบ เช่น ประชาธิปไตย สังคมนิยม ฯลฯ อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เสนอทฤษฎีการพัฒนาการเมือง เพียงแต่พยายามวิเคราะห์ศึกษาการเมืองในประเทศกำลังพัฒนาโดยเลี่ยงการใช้รูปแบบการเมืองในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยหรือไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวการศึกษาที่นิยมทำกัน โดยใช้หลักประเทศประชาธิปไตยตะวันตก เป็นหลักในการเปรียบเทียบ

หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มแรกที่บุกเบิกเกี่ยวกับการเมืองประเทศกำลังพัฒนาและการเน้นการศึกษาแบบทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่และแนววิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ ต่อมาได้มีการออกหนังสือทำนองนี้ออกมาเป็นชุด โดยมีบรรณาธิการสามคน คือ Gabriel Almond, James S. Coleman และ Lucian Pye ใน Little, Brown Series in comparative Politics ซึ่งมีจุดเน้นต่าง ๆ เช่น the Civic Culture, Politics and communica-tion, Aspects of Political Development, Comparative Politics : A Developmental Approach etc.

ซึ่งหนังสือที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการพยายามวิเคราะห์การเมืองแบบมองที่โครงสร้างและหน้าที่โดยดูการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของระบบการเมือง ในลักษณะ Comparative Politics หรือการเปรียบเทียบระบบการเมืองต่าง ๆ ของประเทศกำลังพัฒนา โดยไม่ติดที่รูปแบบ แต่ที่มีการพูดถึงแนวความคิดเรื่องการพัฒนาการเมือง ก็คือหนังสือของ Lucian Pye ชื่อ Aspects of Political Development ซึ่ง Pye ได้พยายามสรุปแนวความคิดต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาการเมืองซึ่งมีอยู่ 10 แนวความคิด (ซึ่งได้เก็บความตามที่จะกล่าวข้างล่างนี้) โดยการสังเคราะห์และออกมาในรูปของ Development Syndrome หรือ



พหุภาพแห่งการพัฒนาแนวความคิดต่าง ๆ 10 แนว และพหุภาพแห่งการพัฒนามีดังนี้คือ


1. การพัฒนาการเมือง คือ รากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจ (Political Development as the Political Prerequisit of Economic Development) เมื่อมีการสนใจเกี่ยวกับปัญหาความเจริญทางเศรษฐกิจและมีความจำเป็นที่จะแปรรูปของเศรษฐกิจที่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นเศรษฐกิจที่เจริญได้ในระดับสม่ำเสมอ นักเศรษฐศาสตร์ก็กล่าวโดยพลันว่าสภาพทางการเมืองและสังคมจะมีบทบาทอย่างแน่วแน่ในการขัดขวางหรือเอื้ออำนวยต่อการเพิ่มขึ้นในรายได้เฉลี่ยต่อหัว และดังนั้นจึงเป็นการเหมาะสมที่จะคิดว่า การพัฒนาการเมืองคือสภาพของระบบการเมืองซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อความเจริญทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดีเมื่อมาใช้ในการวิจัย คำจำกัดความการพัฒนาการเมืองดังกล่าวมีลักษณะในทางลบ เพราะว่าเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดอย่างชัดแจ้งว่า ระบบการเมืองได้ขัดขวางความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไรบ้าง แต่เป็นการยากที่จะพูดว่า ระบบการเมืองได้ช่วยให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจอย่างไร เพราะตามประวัติศาสตร์นั้น ความเจริญทางเศรษฐกิจได้เกิดขึ้นในระบบการเมืองหลายระบบและด้วยนโยบายที่ต่างกัน อันนี้นำไปสู่การคัดค้านต่อคำจำกัดความพัฒนาการเมืองดังกล่าว เนื่องจากว่า คำจำกัดความนั้นไม่ได้มีทฤษฎีร่วมกันเพราะในบางกรณีจะมีความหมายเพียงว่า รัฐบาลได้ปฏิบัติตามนโยบายเศรษฐกิจที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้น ส่วนในสถานการณ์อื่นนั้นอาจจะเกี่ยวพันถึงการพิจารณาองค์การขั้นมูลฐานของรัฐและการปฏิบัติของสังคมทั้งมวล ดังนั้นปัญหาเรื่องการพัฒนาการเมืองจึงแตกต่างกันตามความแตกต่างกันทางปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ

ความลำบากขั้นพื้นฐานอีกประการหนึ่งของคำจำกัดความพัฒนาการเมืองที่กล่าวมาเบื้องต้นจะปรากฎภาพชัดยิ่งขึ้น จากข้อเท็จจริงที่ว่า ความหวังของการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในประเทศด้อยพัฒนามีลักษณะมืดมัว และในหลายประเทศความเจริญทางเศรษฐกิจ (โดยไม่จำต้องพูดถึงการพัฒนาอุตสาหกรรม) ไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นในชั่วอายุของเรา ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในทางการเมืองถึงขนาดที่เรียกว่า อาจจะควรถือว่ามีการพัฒนาการเมืองในสังคมเหล่านั้นตามคำจำกัดความอื่น ๆ
ประการสุดท้าย ยังมีการคัดค้านต่อไปว่า ในประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายประชาชนมีความกังวลมากไปกว่าเพียงความก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น กล่าวคือ ประเทศเหล่านี้คำนึงถึงการพัฒนาการเมืองโดยอาจจะไม่คำนึงผลการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้น ความพยายามเชื่อมโยงการพัฒนาการเมืองกับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวจะเป็นการมองข้ามสิ่งสำคัญอย่างอื่นในประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้


2. การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองในสังคมอุตสาหกรรม (Political Development as the Politics Typical of Industrial Societies)
คำจำกัดความอันที่สองของการพัฒนาการเมือง ซึ่งมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นทางเศรษฐกิจเป็นความเห็นที่มีลักษณะเป็นนามธรรมของการเมืองในสังคมที่มีความเจริญอย่างมากในทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ข้อสันนิษฐานก็ถือว่า ชีวิตในสังคมอุตสาหกรรมนั้นจะนำไปสู่ชีวิตทางการเมืองแบบหนึ่งตามความหมายนี้ สังคมอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ก็ตาม มีมาตรฐานพฤติกรรมทางการเมืองและการปฏิบัติซึ่งเป็นลักษณะของการพัฒนาการเมืองและเป็นจุดมุ่งหมายบั้นปลายของการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด

ดังนั้นคุณสมบัติเฉพาะของการพัฒนาการเมืองกลายเป็นรูปแบบซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นพฤติกรรมของรัฐบาลที่ “มีเหตุผลและรับผิดชอบ” กล่าวคือ มีการหลีกเลี่ยงการกระทำที่ไร้ความคิดซึ่งคุกคามต่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่สำคัญในสังคม มีข้อจำกัดต่ออธิปไตยทางการเมือง การเทิดทูนคุณค่าของแบบแผนทางการปกครองอย่างมีระเบียบ การยอมรับว่าการเมืองเป็นวิธีการแก้ปัญหาเท่านั้น และไม่ใช่จุดบั้นปลายในตัวของมันเอง การย้ำของโครงการสวัสดิการและประการสุดท้าย คือ การยอมรับการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปใดรูปหนึ่ง


3. การพัฒนาการเมือง
คือ ความจำเริญทางการเมือง (Political Development as Po-litical Modernization) ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองเป็นลักษณะการเมือง ในอุดมคติในแบบสังคมอุตสาหกรรมมีความหมายเดียวกับความจำเริญทางการเมืองที่มีประเทศอุตสาหกรรมเป็นแบบอย่างของชีวิตทางเศรฐกิจและสังคม และคนจำนวนมากคาดหวังว่า ในขอบข่ายชีวิตทางการเมืองก็มีลักษณะเดียวกัน อย่างไรก็ดีการยอมรับความคิดอันนี้โดยง่ายย่อมจะทำให้เกิดความไม่พอใจกับผู้เชื่อถือในความเท่าเทียมกันของวัฒนธรรม และคำถามสำคัญก็คือการที่ถือว่าการปฏิบัติของสังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมตะวันตกเป็นมาตรฐานสากลสำหรับการเมืองทุกระบบนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่

ถึงแม้ว่าจะยอมรับว่าการคัดค้านนี้เป็นสิ่งที่น่ารับฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าความเชื่อดังกล่าวนั้นเป็นแฟชั่นประจำสมัย อย่างไรก็ตามความจริงที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์โลก คือ ประเพณีและปทัสถานทางสังคม ซึ่งแผ่กระจายไปทั่วโลกและซึ่งคนทั่ว ๆ ไป รู้สึกว่า ควรที่สังคมที่มีความเคารพตัวเองจะรับประเพณีและปทัสถานนี้มาตรฐานดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในสังคมอุตสาหกรรมและเกิดจากความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และในปัจจุบันมาตรฐานเหล่านี้ได้คงอยู่ตัวแล้ว ตัวอย่างเช่น การมีส่วนร่วมในทางการเมืองเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นจริง ในทางสังคมวิทยาและชีวิตในสังคมอุตสาหกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ถูกถือว่าเป็นสิทธิอันเด็ดขาด ในความเห็นของโลกปัจจุบันนอกจากนี้หลักการอื่น ๆ เช่น การเรียกร้องให้มีกฎหมายที่ใช้เป็นหลักสากล การเคารพในความสามารถยิ่งกว่าชาติกำเนิด และความคิดทั่วไปเกี่ยวกับความยุติธรรมและสิทธิของประชาชนดูเหมือนว่าจะกลายเป็นสิ่งซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมใด ๆ และกลายเป็นมาตรฐานสากลของชีวิตการเมืองยุคใหม่

คำถามที่เกิดขึ้นทันทีก็คือ อะไรคือรูปแบบและอะไรคือเนื้อหาของคำจำกัดความการพัฒนาการเมือง การทดสอบการพัฒนาอยู่ที่ประเทศสามารถจะมีสิ่งซึ่งถือว่าเป็นโครงสร้างของวัฒนธรรมแบบใหม่ เช่น พรรคการเมือง การปกครองและสภานิติบัญญัติที่มีเหตุผลและเพื่อประชาชน เช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกเหนือกว่าในเชื้อชาติก็จะเป็นสิ่งซึ่งตรงประเด็นในเรื่องนี้ เพราะว่าสถาบันเหล่านี้มีลักษณะเป็นสถาบันของประเทศตะวันตก ถ้าในทางตรงกันข้าม ความสำคัญอยู่ที่การกระทำหน้าที่อันสำคัญของระบบการเมือง ก็จะเกิดอีกอันหนึ่งเพราะระบบการเมืองต่าง ๆ นั้นในทางประวัติศาสตร์ได้กระทำหน้าที่อันสำคัญที่คล้ายคลึงกับสถาบันใหม่หรือสถาบันตะวันตก (ซึ่งจะเป็นรูปใดก็ตาม) ดังนั้น อะไรจะเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า อันไหนพัฒนากว่า ปัญหาที่เห็นได้ชัดคือการพัฒนาการเมือง เมื่อให้คำจำกัดความว่า คือ การจำเริญทางการเมืองนั้นจะเกิดปัญหาเรื่องการแยกแยะว่าอะไรเป็นของตะวันตกและอะไรเป็นของสมัยใหม่ ถ้าจะพยายามหาความแตกต่างดังกล่าวก็คงต้องใช้ข้อพิจารณาอื่น ๆ มาประกอบ


4. การพัฒนาการเมือง
คือ ระบบการเกิดรัฐชาติ (Political Development as the Operation of a Nation State) ความคิดอันนี้เกิดจากความเห็นที่ว่า การพัฒนาการเมืองนั้นเกิดจากการจัดตั้งของชีวิตทางการเมืองและการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองที่คล้องจองกับมาตรฐานของรัฐบาลในยุคใหม่ ในความเห็นนี้มีข้อสันนิษฐานว่า จากประวัติศาสตร์มีระบบการเมืองหลายระบบและทุกสั่งคมมีระบบการเมืองของตน แต่เมื่อเกิดรัฐชาติยุคใหม่ คุณลักษณะบางประการทางการเมืองของระบบรัฐชาติก็ตามมา ดังนั้น สังคมใดที่ต้องการเป็นรัฐยุคใหม่ สถาบันทางการเมืองของสังคมนั้นจะต้องปรับตัวเข้ากับคุณลักษณะเหล่านี้ การเมืองของจักรวรรดิ์ของสังคมชนเผ่าและเชื้อชาติหรือของอาณานิคมจะต้องสลายตัวไปเพื่อกลายเป็นระบบการเมืองในรัฐชาติ ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสัมฤทธิ์ผลร่วมกับรัฐชาติอื่น ๆ

การพัฒนาการเมืองจึงกลายเป็นวิถีทางซึ่งสังคมที่เป็นรัฐชาติในรูปแบบและโดยความเอื้อเฟื้อของนานาชาติ ได้กลายเป็นรัฐชาติที่แท้จริง กล่าวเฉพาะเจาะจงลงไปคือความสามารถที่จะดำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยของสังคมในระดับหนึ่ง ความสามารถที่จะใช้ทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และความสามารถที่จะปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างประเทศ ดังนั้น การทดสอบการพัฒนาการเมืองก็กลายเป็น 1. การสร้างสถาบันทางสังคมซึ่งเป็นโครงสร้างที่จำเป็นของรัฐชาติ 2. การแสดงออกที่อยู่ในขอบข่ายของชีวิตของการเมือง ในรูปแบบชาตินิยม กล่าวคือ การพัฒนาการเมือง คือ การเมืองชองชาตินิยมในขอบข่ายของสถาบันแห่งรัฐ
มีข้อสำคัญที่จะต้องเน้นว่า จากความคิดดังกล่าว ความรู้สึกชาตินิยมเป็นเงื่อนไขที่เพียงพอต่อการพัฒนาการเมือง การพัฒนานั้นคลุมไปถึงการถึงความรู้สึกเรื่องชาตินิยมซึ่งกระจัดกระจายไปสู่สปิริตความเป็นประชากรของชาติ และสำคัญเท่า ๆ กัน คือ การสร้างสถาบันแห่งรัฐที่สามารถจะแปรรูปความรู้สึกชาตินิยมและความรู้สึกเรื่องการเป็นประชาชนนอกเป็นรูปนโยบายและโครงการ กล่าวโดยย่อ การพัฒนาการเมืองคือการสร้างชาติ


5. การพัฒนาการเมือง
คือ การพัฒนาการบริหารและกฎหมาย (Political Development as Administrative and Legal Development) ถ้าเราแยกการสร้างชาติออกเป็นการสร้างสถาบันและการพัฒนาความเป็นพลเมือง เราก็จะมีความคิดทางการพัฒนาการเมืองสองแนว ความจริงแล้ว ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองคือการสร้างองค์การมีประวัติมาช้านานซึ่งเป็นพื้นฐานที่ชาญฉลาดของระบบอาณานิคม เพราะว่าเราได้สังเกตเห็นแล้วในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับอารยธรรมตะวันตกที่มีต่อโลก คือ ความเชื่อที่ว่าในการสร้างสังคมทางการเมืองนั้นก่อนอื่นจำเป็นต้องมีความเป็นระเบียบทางกฎหมายและจากนั้นความเป็นระเบียบทางการบริหาร

ประเพณีดังกล่าวได้สนับสนุนทฤษฎีปัจจุบันที่ว่า การสร้างระบบองค์การธิปไตย (Bureaucracy) อย่างสัมฤทธิผลเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา ในความเห็นนี้ การพัฒนาการบริหารมีความเกี่ยวพันกับการมีเหตุผล การเสริมสร้างความคิดทางโลกธรรมและทางกฎหมาย และการมุ่งเข็มความรู้ความชำนาญทางเทคนิคไปสู่สังคมมนุษย์

แน่ล่ะ ไม่มีรัฐใดจะอ้างว่า “พัฒนา” ถ้าขาดความสามารถที่จะจัดการเรื่องสาธารณะอย่างได้ผล และเมื่อใดที่รัฐใหม่มีการบริหารที่ได้ผล ปัญหาต่าง ๆ ก็มักจะอยู่ในวิสัยที่แก้ไขได้ ในทางตรงกันข้าม การบริหารแต่อย่างเดียวไม่เพียงพอ และความจริงแล้ว ถ้าหากมีการบริหารมากเกินไป อาจก่อให้เกิดความไม่สมดุลในสังคมซึ่งอาจขัดต่อการพัฒนาทางการเมือง ความจริงเรื่องการพัฒนาการเมืองที่มุ่งที่เรื่องการบริหารนั้น มองข้ามปัญหากรฝึกฝนพลเมืองและการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นเป็นแง่สำคัญของการพัฒนาการเมือง


6. การพัฒนาการเมือง
คือการระดมพลและการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Develop-ment as Mass Mobilization and Participation) การพัฒนาการเมืองอีกแง่หนึ่งเกี่ยวเนื่องกับบทบาทของประชาชนและมาตรฐานใหม่ของความภักดีและการมีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในประเทศอาณานิคมก่อน ๆ มีความคิดว่าสิ่งที่เรียกว่าการพัฒนาการเมืองคือความตื่นตัวทางการเมืองแบบหนึ่ง ซึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินกลายเป็นประชาชนผู้มีความกระตือรือล้นและมีความผูกพันต่อการเมือง
ในบางประเทศความเชื่ออันนี้มีมากจนกระทั่งถึงขนาดที่ว่า การเมืองแบบประชาชนมีส่วนร่วมนั้นกลายเป็นจุดหมายปลายทางของมันเอง และทั้งผู้นำและประชาชนเชื่อว่าความจำเริญของชาติอยู่ที่ความถี่ของการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ในทางตรงกันข้ามประเทศซึ่งมีความก้าวหน้าอย่างมีระเบียบได้ผล อาจรู้สึกไม่พอใจ ถ้าเขารู้สึกว่า ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างมากนั้นกำลังประสบ “การพัฒนา” อย่างยิ่งใหญ่

ตามความคิดเห็นส่วนมากการพัฒนาการเมืองนั้นจะต้องมีการขยายการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน แต่มีจุดที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาคือการแยกแยะเงื่อนไขของการขยายนี้ ในทางประวัติศาสตร์ตะวันตก การพัฒนาการเมืองอันนี้ผูกพันอย่างใกล้ชิดกับสิทธิการลงคะแนนเสียงและการนำเอาชนกลุ่มใหญ่เข้ามาสู่ในวิถีทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นหมายถึงการกระจายในการตัดสินนโยบายและการมีส่วนร่วมนั้นทำให้เกิดผลกระทบต่อการเลือกและการตัดสิน อย่างไรก็ตามในรัฐใหม่บางรัฐการมีส่วนร่วมทางการเมืองไม่ได้เกิดพร้อมกับการมีสิทธิการลงคะแนนเสียง แต่หากเป็นการตอบโต้ของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อการชักจูงของผู้นำ ควรยอมรับว่า แม้การมีส่วนร่วมในขอบเขตที่แคบดังกล่าวนี้ ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติ เพราะเป็นวิธีหนึ่งที่จะสร้างความภักดีอันใหม่ และความรู้สึกใหม่ในเอกลักษณ์ของชาติ

ดังนั้นถึงแม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้น เป็นแง่ของการพัฒนาการเมือง แต่ก็เต็มไปด้วยอันตราย เช่น อันตรายที่เกิดจากอารมณ์รุนแรง หรือผู้ก่อกวนทางการเมือง ซึ่งทั้งสองอันนี้อาจจะทำลายล้างความมั่นคงของสังคม แน่ละ ปัญหาก็อยู่ที่การพยายามสร้างดุลยภาพระหว่างความรู้สึกของประชาชนต่อการมีส่วนร่วมและความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งเป็นปัญหาขั้นมูลฐานของระบบประชาธิปไตย


7. การพัฒนาการเมือง
คือ การสร้างประชาธิปไตย (Political Development as the Building of Democracy) ความคิดอันนี้ คือ การพัฒนาการเมืองเหมือนหรือควรเหมือนกับการสร้างสถาบันและการปฏิบัติประชาธิปไตย แนวความคิดนี้มีข้อสันนิษฐานว่ารูปแบบของการพัฒนาการเมืองมีอยู่รูปเดียว คือ การสร้างประชาธิปไตย การมองการพัฒนาการเมืองว่าคือ ระบบประชาธิปไตยก็ได้เกิดการต่อต้านแนวความคิดนี้ โดยเฉพาะในหมู่นักสังคมศาสตร์ ที่พยายามจะทำให้สังคมศาสตร์เป็นศาสตร์ปราศจากคุณค่านิยมและมุ่งที่จะวิเคราะห์การเมืองอย่างวัตถุวิสัย

นอกจากนี้เพื่อสะดวกในการปฏิบัติในการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ คนอเมริกันยังมีเหตุผล (แม้จะเป็นเหตุผลที่ผิด) ที่จะเชื่อว่า จะเป็นการง่ายกว่าที่จะพูดกับประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องการ “พัฒนา” มากกว่าเรื่อง “ประชาธิปไตย” ข้อถกเถียงก็คือ ประชาธิปไตยเป็นคำซึ่งเต็มไปด้วยคุณค่านิยม ส่วนการพัฒนานั้นเป็นกลาง การพยายามใช้ประชาธิปไตยเพื่อการพัฒนาการเมืองจึงอาจจะถูกเข้าใจว่า เป็นการพยายามเอาคุณค่านิยมอเมริกัน หรือตะวันตกมายัดใส่


8. การพัฒนาการเมือง
คือเสถียรภาพการเมืองและการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ (Political Development as Stability and Orderly Change) คนจำนวนมากที่รู้สึกว่าประชาธิปไตยไม่สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วนั้น มักจะมีแนวความคิดและมองการพัฒนาในแง่ของความเป็นระเบียบทางเศรษฐกิจและสังคม ผู้มีความเชื่อทางการเมืองนี้มักเชื่อว่า การพัฒนาการเมืองคือความมีเสถียรภาพทางการเมือง และมีความสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างมีระเบียบ เสถียรภาพซึ่งเป็นเพียงการหยุดนิ่ง และการสนับสนุนสภาพคงที่นั้นไม่ใช่การพัฒนา อย่างไรก็ดี เสถียรภาพก็มีความผูกพันกับการพัฒนาในแง่ที่ว่าความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคมมักขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมซึ่งความไม่แน่นอนได้ถูกลดลงและการวางแผนได้ตั้งอยู่บนรากฐานของการคาดคะเนอย่างเป็นไปได้

ความคิดการพัฒนานี้จะถูกจำกัดอยู่ในขอบข่ายของการเมือง เพราะว่า สังคมซึ่งวิถีทางการเมืองสามารถที่จะควบคุมและอำนวยการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมีเหตุผล ไม่เพียงแต่เป็นการตอบโต้ต่อมันก็ย่อมจะพัฒนากว่าสังคม ซึ่งวิถีทางการเมืองตกเป็นเหยื่อของ “พลัง” สังคม เศรษฐกิจ ซึ่งควบคุมชะตาชีวิตของประชาชน ดังนั้นเช่นเดียวกับที่มีการอ้างว่า ในสังคมใหม่นั้น บังคับธรรมชาติเพื่อจุดประสงค์ของเขา ส่วนสังคมเก่าเพียงปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติ เราอาจถือว่าจะมีการพัฒนาการเมืองขึ้นอยู่กับสามารถควบคุมการเปลี่ยนแปลงสังคมหรือถูกควบคุมโดยสังคม และแน่ละจุดเริ่มต้นของกรควบคุมพลังทางสังคม คือ การสามารถรักษาความเป็นระเบียบทางสังคม ปัญหาของความคิดของการพัฒนาอันนี้ ก็คือ ไม่มีคำตอบว่าความเป็นระเบียบจะต้องมีขนาดใดจึงจะพอเพียงหรือเป็นสิ่งที่พึงประสงค์และเพื่อจุดประสงค์อันใด สำหรับการเปลี่ยนแปลงยังมีปัญหาต่อไปว่า การพยายามเอาเสถียรภาพและการเปลี่ยนแปลงมารวมกันจะไม่เป็นความฝันของชนชั้นกลางหรือของสังคมซึ่งดีกว่าประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลายในปัจจุบันหรอกหรือ ประการสุดท้าย ในเรื่องของลำดับความสำคัญก็มีความรู้สึกว่าการรักษาความเป็นระเบียบถึงแม้ว่าจะเป็นที่ปรารถนาหรือสำคัญประการใดก็ตาม ยังเป็นรองต่อการที่จะทำให้สำเร็จ ดังนั้น การพัฒนาจึงต้องมองผลของการปฏิบัติ


9. การพัฒนาการเมือง
คือ การระดมพลและอำนาจ (Political Development as Mobili-zation and Power) การยอมรับว่าระบบการเมืองนั้นจะต้องมีความสามารถและประโยชน์ต่อสังคมนำไปสู่ความคิดที่ว่า การพัฒนาการเมืองคือความสามารถของระบบ เมื่อมีการเถียงว่า ประชาธิปไตยอาจจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบลดลง ก็มีข้อสันนิษฐานอยู่ว่าเป็นสิ่งที่จะเป็นไปได้ที่จะวัดความสามารถของระบบและขณะเดียวกันความคิดเรื่องประสิทธิภาพทำให้คิดว่า มีแบบแผนทางทฤษฎีหรืออุดมคติที่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง

ความคิดอันนี้นำไปสู่ความเชื่อว่า ระบบการเมืองสามารถจะถูกวัดได้โดยใช้ระดับหรือขอบข่ายของอำนาจสูงสุดซึ่งระบบสามารถจะระดมพลและอำนาจ ระบบบางระบบนั้นซึ่งอาจจะมีเสถียรภาพหรือไม่มีก็ตามดูเหมือนว่าจะดำเนินต่อไปโดยมีอำนาจเพียงเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้ตัดสินนโยบายมีอำนาจอย่างมาก ดังนั้น สังคมจึงสัมฤทธิ์ผลในความมุ่งหมายที่มีร่วมกัน รัฐย่อมต่างกันตามพื้นฐานของทรัพยากร แต่การวัดการพัฒนาทำได้โดยดูที่ขอบข่ายที่รัฐเหล่านั้นสามารถใช้ประโยชน์ทรัพยากรของตนอย่างเต็มที่

การตระหนักด้วยว่าการกล่าวเบื้องต้นไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ความคิดที่หยาบและมีลักษณะเป็นเผด็จการ การพัฒนา คือ ความสามารถของรัฐที่จะเอาทรัพยากรจากสังคม ความสามารถที่จะระดมทรัยากรและการแจกแจงทรัพยากรมักจะผูกพันกับการสนับสนุนของประชาชนที่มีระบบการเมืองและด้วยเหตุอันนี้ ระบบประชาธิปไตยจึงมักจะระดมทรัพยากรได้สมฤทธิ์ผลดีกว่าระบบเผด็จการที่กดขี่ ความจริงแล้วในทางปฏิบัติ ปัญหาของการพัฒนาการเมืองในหลายสังคมอาจจะเกี่ยวพันกับการได้รับความสนับสนุนจากประชาชน อันนี้ไม่ใช่เพราะคุณค่าทางประชาธิปไตย แต่เนื่องจากว่า การสนับสนุของประชาชนจะทำให้ระบบการเมืองสามารถระดมอำนาจได้

เมื่อการพัฒนาการเมืองคือการระดมและการเพิ่มระดับอำนาจสูงสุดในสังคมเราก็สามารถจะแยกแยะจุดประสงค์ของการพัฒนากับคุณลักษณะต่าง ๆ ที่ผูกพันกับการพัฒนาลักษณะเหล่านี้อาจจะวัดได้ และดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะสร้างดัชนีของการพัฒนา ซึ่งได้แก่ จำนวนและขอบเขตของสื่อมวลชนซึ่งได้แก่จำนวนหนังสือพิมพ์ การกระจายวิทยุ พื้นฐานทางภาษีของสังคม สัดส่วนประชากร ในรัฐบาลและส่วนอื่น การจัดสรรทรัพยากรเพื่อการศึกษาการป้องกันประเทศและสวัสดิการของสังคม


10. การพัฒนาการเมืองเป็นแง่หนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Political Development as One aspect of a Multi – Dimensional Process of Social Change)
ความจำเป็นที่ต้องมีข้อสันนิษฐานทางทฤษฎีเพื่อเลือกสรรดัชนีในการวัดการพัฒนานำไปสู่ความคิดที่ว่าการพัฒนาการเมืองนั้นผูกพันอย่างแน่นแฟ้นกับการเปลี่ยนแปงทางสังคมและเศรษฐกิจนี่เป็นความจริงเพราะอะไรก็ตามที่อธิบายถึงศักยภาพของอำนาจของประเทศมักจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม ข้อถกเถียงนี้อาจจะกล่าวต่อไปอีกว่า เป็นสิ่งไม่จำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะแยกแยะการพัฒนาการเมืองจากการพัฒนาในด้านอื่น ๆ ถึงแม้ว่าในขอบเขตที่จำกัดอาณาจักรแห่งการเมืองอาจจะอยู่โดดเดี่ยวจากส่วนของสังคม แต่ถ้าจะมีการพัฒนาการเมืองอย่างสม่ำเสมอจะต้องมีการพัฒนา ในด้านอื่น ๆ ของสังคมโดยจะปล่อยส่วนอื่นของสังคมล้าหลังไม่ได้

ตามความเห็นดังนี้ การพัฒนามีการเกี่ยวพันกันทุกด้าน การพัฒนาเหมือนกันอย่างมากกับความเจริญทันสมัย (Modernization) และการพัฒนาเกิดขึ้นในกรอบทางประวัติศาสตร์ ซึ่งอิทธิพลจากข้างนอกสังคมมีต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมเช่นเดียวกับการเปลี่ยนแปลงในแง่ต่าง ๆ ในสังคม กล่าวคือ ทางเศรษฐกิจการเมืองและสภาพสังคมอย่างผูกพันซึ่งกันและกัน

จะเห็นได้ว่าคำจำกัดความดังกล่าวมานั้นส่วนใหญ่เป็นการมองการพัฒนาการเมือง โดยจะเน้นในแง่ที่นักวิชาการแต่ละสำนักคิดว่า เป็นตัวแปรสำคัญและบางคำจำกัดความจำเป็นจะต้องกล่าวถึงแนวความคิดดังกล่าว เช่น คำจำกัดความข้อ 1 แทบจะไม่ได้ให้คำจำกัดความเลย บอกเพียงว่าการพัฒนาการเมืองคือรากฐานของการพัฒนาเศรษฐกิจหรือบางจำกัดความก็มีอคติแฝงไว้อย่างเห็นได้ชัด เช่น คำจำกัดความข้อ 7 ที่ว่า การพัฒนาการเมืองคือการสร้างประชาธิปไตย ถ้าเช่นนี้ก็หมายความว่า สังคมอยุธยาก็ดี จีนโบราณซึ่งมีประวัติศาสตร์มาสี่พันปีก็ดี หรือสหภาพโซเวียตปัจจุบัน หรือสาธารณะประชาชนจีน ไม่มีการพัฒนาการเมือง หรือการสร้างทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ในลักษณะวิทยาศาสตร์จะต้องมีความเป็นกลาง มิใช่เอนเอียงไปตามอุดมการณ์ หรือความเชื่อของตน จะเห็นได้ว่า ปัญหาเรื่องคำจำกัดความจึงเป็นปัญหาขั้นพื้นฐานที่จะต้องมีการตกลงยอมรับก่อนที่จะมีการสร้างทฤษฎีวิทยาศาตร์ขึ้นมา

เนื่องจากการมองดูปัญหาแต่ละแง่ตามที่ตนถนัดหรือเข้าใจว่าเป็นตัวแปรสำคัญ จึงมีผู้พยายามจะรวมคำจำกัดความต่าง ๆ และพยายามหาจุดร่วมซึ่งป็นแก่นสำคัญของความหมายเรื่องการพัฒนาการเมือง Lucian Pye ซึ่งอ้างว่าในแต่ละสำนักความคิดทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมีลักษณะร่วมซึ่งสรุปได้สามข้อ Pye ใช้ชื่อแนวความคิดพัฒนาการเมืองซึ่งประกอบด้วยตัวแปรหลาย ๆ ตัว หรือแง่พิจารณาหลาย ๆ แง่ว่า Development Syndrome ซึ่งผู้เขียนขอใช้คำว่า พหุภาพแห่งการพัฒนา ลักษณะร่วมสามข้อ คือ
Equality, Capacity และ Differentiation Equality หรือความเสมอภาค คือ การที่สังคมนั้นมีการแปรเปลี่ยนจากสังคมที่เป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินมาป็นประชาชนซึ่งมีสิทธิมีเสียง มีส่วนร่วมทางการเมือง และกฎหมายในสังคมนั้นต้องมีลักษณะสากล คือ ปรับใช้กับทุกคนเท่าเทียมกัน การมีอำนาจและสถานะในระบบการเมืองต้องใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์มิใช่ชาติกำเนิดเป็นหลักตัดสิน

Capacity หรือความสามารถของระบบการเมืองที่จะมีการผลิตที่มีผลกระทบต่อสังคมและเศรษฐกิจ และประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติตามนโยบายสาธารณะ นอกจากนั้น ยังต้องมีเหตุผลและการมองนโยบายลักษณะโลกธรรม (secular) และในลักษณะที่เป็นระบบแบบแผน
Differentiation หรือการแยกเฉพาะด้าน กล่าวคือ การแยกแยะเฉพาะด้านของโครงสร้าง องค์การ และหน่วยงาน มีหน้าที่จำกัดและเฉพาะเจาะจง มีการแบ่งงานตามความชำนาญ

การมองดูการพัฒนาการเมืองแบบ Development Syndrome ดังกล่าวข้างบนนั้นจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นการมองรูปแบบในอุดมคติ ซึ่งเป็นจุดหมายบั้นปลายอันพึงประสงค์แต่ถ้าพิจารณาในแง่การสร้างทฤษฎีจะเห็นได้ว่า คำจำกัดความข้างบนนี้มีลักษณะเอนเอียงไปทางระบบตะวันตก (Western – biased) คำจำกัดความโดยมี Equality, Capacity และ Differentiation นั้นจะเห็นได้ชัดว่า เป็นรูปแบบของสหรัฐอเมริกาและยุโรปตะวันตก แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ กล่าวง่าย ๆ คือ เป็นคำจำกัดความที่เกิดจากพื้นฐานของสังคมเหล่านี้ จึงเกิดข้อสงสัยว่า แนวความคิดการพัฒนาการเมืองนี้จะใช้ได้เฉพาะประเทศดังกล่าวมา และถ้าถือเอาตามนี้ ประเทศในฝ่ายคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นต้น ไม่มีการพัฒนาการเมืองและสังคมต่าง ๆ ในอดีต จีนโบราณ จักรวรรดิ์โรมัน สุโขทัย อยุธยา ฯลฯ ไม่มีการพัฒนาการเมืองและไม่เคยมีกล่าวอีกนัยหนึ่ง คำจำกัดความดังกล่าว extrapolate ในมิติของกาละเทศะไม่ได้เลย จึงเป็นคำจำกัดความในลักษณะที่ไม่ใช่อกาลีโก (timeless) จึงขาดความเป็นวิทยาศาสตร์

มีนักวิชาการบางท่านเห็นว่า คำจำกัดความดังกล่าวข้างบนนั้น ไม่น่าเชื่อถือเป็นการพัฒนาการเมือง (Political Development) แต่เป็นการทำให้พ้นสมัยทางการเมืองหรือการทำให้ระบบการเมืองทันสมัย (Political Modernization) ซึ่งจะต้องมีลักษณะสามประการดังกล่าวมาแล้วส่วนการพัฒนาการเมืองนั้น คือ “ความสามารถของระบบการเมืองที่จะสร้างความสนับสนุนจากมวลชนเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางสังคม (the capacity of the political system to generate support to meet societal demands) กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การพัฒนาการเมืองนั้น คือ ความสามารถที่ระบบการเมืองทำให้คนในสังคมสนับสนุนเพื่อการแก้ปัญหาต่าง ๆ ของสังคม กล่าวคือ เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม จุดเน้นอยู่ที่ระบบการเมืองสามารถระดมทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรธรรมชาติเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคมและเพื่อแก้ปัญหต่าง ๆ ของสังคมในกรณีเช่นนี้ ในบางช่วงเวลาประเทศที่มีความทันสมัยทางการเมืองสูงการมีระดับการพัฒนาทางการเมือง่ำ ในทางกลับกันประเทศที่มีความทันสมัยทางการมเองต่ำการมีระดับการพัฒนาทางการเมืองสูง ตัวอย่างเช่น ในสมัยสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกามีการพัฒนาทางการเมืองต่ำ ทั้ง ๆ ที่ระดับความทันสมัยทางการเมืองสูง ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนมีการพัฒนาการเมืองสูง ทั้ง ๆ ที่การทันสมัยทางการเมืองต่ำ สหภาพโซเวียตก็อยู่ในลักษณะเดียวกัน (ดูผังประกอบ)

การพัฒนาการเมือง ความทันสมัยทางการเมือง
Political Develop-ment Political Modernisa-tion
สหรัฐอเมริกา + + + + +
สหภาพโซเวียต + + + + +
สาธารณรัฐประชาชนจีน + + + + +

จากผังเราพอจะเปรียบเทียบอย่างหยาบ ๆ ได้ว่า ถ้าพูดถึงแง่ความทันสมัยทางการเมือง สหรัฐอเมริกามีความทันสมัยสูงสุด รองลงมาคือสหภาพโซเวียต และตามมาด้วยสาธารณรัฐปยระชาชนจีน แต่ในทางการพัฒนาการเมือง คือ การที่ระบบทำให้สมาชิกประชาคมการเมืองสนับสนุนเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมนั้น สาธารณรัฐประชาชนจีนอยู่ในอันดับสูงสุด รองลงมาได้แก่สหภาพโซเวียต และต่ำสุด คือ สหรัฐอเมริกา นี่เป็นการพูดถึงช่วงระยะเวลาระหว่างสงครามเวียตนาม ซึ่งสหรัฐอเมริกาประสบปัญหาการต่อต้านสงครามและปัญหาระหว่างผิว การสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลตกต่ำมาก
นักวิชาการอีกท่านหนึ่งที่แยกระหว่างคำว่า การพัฒนาการเมืองและการทำให้ทันสมัยทางการเมืองคือ Samuel Huntington


การทำให้ระบบการเมืองทันสมัย (Political Modernization) นั้นประกอบด้วยตัวแปรผันสามตัวคือ

1. ความมีเหตุผลของอำนาจ (Rationalization of Authority) ทั้งในแง่ของที่มาแห่งอำนาจและการใช้อำนาจ

2. การจำแนกแยกแยะและทำหน้าที่ตามความชำนาญเฉพาะอย่างของโครงสร้างของระบบการเมือง (Differentiation and Specialization)

3. การเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation) ซึ่ง Huntington ได้กล่าวต่อว่า การทำให้ทันสมัยทางการเมืองมีจุดเน้นที่นำมาซึ่งรูปแบบระบบการเมืองทันสมัย ซึ่งเกี่ยวพันกับการเกิดขึ้นของกลุ่มทางสังคมใหม่ ซึ่งมีความสำนึกทางการเมืองและกลุ่มเหล่านี้ได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่ระบบการเมือง ซึ่งอาจทำให้เกิดการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ส่วนการพัฒนาการเมือง (Political Development) นั้นหมายถึงการที่จะสร้างสถาบันทางการเมืองที่มีลักษณะยืดหยุ่น (adaptability) ซับซ้อน (complexity) และเป็นอิสระพอสมควร (automeny) และมีความเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากพอ (coherence) ที่จะสามารถควบคุมการขยายตัวของการมีส่วนร่วมทางการเมืองได้ ตลอดจนสามารถที่จะส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ถ้าจะกล่าวอย่างสั้น ๆ ก็คือความทันสมัยทางการเมืองคือการตื่นตัวและมีส่วนร่วมทางการเมือง ส่วนการพัฒนาการเมืองคือการสร้างสถาบันเพื่อจัดระเบียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองดังกล่าว ซึ่งถ้าอัตราการพัฒนาการเมืองเกิดขึ้นไม่ทันอัตราความทันสมัยทางการเมืองก็จะนำไปสู่ความผุพังทางการเมือง (Political Decay)

แนวความคิดของ Huntington มีสาระประโยชน์อย่างมากสำหรับการวิเคราะห์การเมืองในประเทศกำลังพัฒนา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ การเมืองไทยหลัง 14 ตุลาคม 2516 มีการตื่นตัวทางการเมืองมาก หรือกล่าวได้ว่ามี Political Modernization มาก แต่การพัฒนาการเมือง (Political Development) หรือสร้างสถาบันทางการเมืองที่จะจัดระเบียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นเจริญไม่ทัน ผลสุดท้ายก็นำไปสู่ความผุพังทางการเมืองตามที่ทราบกันอยู่ แต่คำจำกัดความดังกล่าวก็แคบเกินไป และยังติดอยู่กับสภาวะการเมืองในยุคใหม่ คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งทำให้ปรับใช้ไม่ได้กับยุคสมัยที่คนไม่ส่วนร่วมทางการเมือง

สำหรับ Huntington เองนั้นต่อมาก็ได้เปลี่ยนแนวความคิดในเรื่องการพัฒนาการเมือง โดยเขียนบทวิจารณ์ตัวเอง และออกมาด้วยความคิดแนวใหม่ในแง่ “The Change to Change” โดยมองดูการปรับเปลี่ยนของระบบการเมืองที่จะรับการเปลี่ยนแปลงด้านอื่น ในแง่นี้จะเห็นว่าเป็นการทางที่การเปลี่ยนแปลงของระบบการเมืองโดยเลี่ยงศัพท์คำว่าการพัฒนาการเมือง

สำหรับแนวความคิดนี้ อาจจะเหมาะกับการมองดูการเปลี่ยนแปลงของระบบการเมือง ซึ่งในแง่หนึ่งก็คือ ความสามารถในการปรับตัวหรือปรับเปลี่ยนเพื่อสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีความหมายกว้าง เพราะรวมทั้งในแง่โครงสร้างทางการเมือง วัฒนธรรม และค่านิยม ทัศนคติต่าง ๆ ในแง่หนึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงข้อถกเถียงและจุดอ่อนต่าง ๆ ของทฤษฎีพัฒนาการเมืองความพยายามของนักวิชาการในโลกกำลังพัฒนาที่จะประยุกต์ทฤษฎีพัฒนาการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนักวิชาการประเทศตะวันตก โดยเฉพาะนักวิชาการอเมริกัน มักจะประสบปัญหาในแง่ที่ว่าปรับได้ลำบาก เพราะทฤษฎีหรือแนวความคิดดังกล่าว สร้างมาจากประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของประเทศตะวันตก เช่น development syndrome หรือพหุภาพแห่งการพัฒนาของ Pye แม้จะพยายามหลีกเลี่ยงโดยพยายามทำให้เป็นทฤษฎีสากลที่ใช้ได้ทุกกาละเทศะ เช่น ของ Huntington เรื่อง Political Modernization (ความตื่นตัวทางการเมือง) และ Political Development (การจัดตั้งสถาบันรองรับการมีส่วนร่วม) มิฉะนั้นจะเกิด decay ก็ไม่สามารถปรับเข้ากับยุคที่คนไม่มีส่วนร่วมทางการเมืองจึงได้มีการคิดแนวทฤษฎีใหม่ขึ้นมา ซึ่งจะกล่าวโดยสังเขปข้างล่างนี้
แนวความคิดการพัฒนาการเมืองที่ใช้ได้กับระบบการเมืองทุกระบบทุกยุคทุกสมัยนี้จะพิจารณาเฉพาะด้านการเมือง โดยดูที่สถาบันและกระบวนการทางการเมืองและอำนาจทางการเมือง แนวความคิดอันนี้จะมีลักษณะเป็นกลางโดยไม่มีอคติทางอุดมการณ์ทางการเมืองด้วย


แผนพัฒนาการเมืองจะประกอบด้วยตัวแปรสามตัว คือ

1. ความสามารถในการที่ทำให้ระบบการเมืองยอมรับโดยสมาชิกของประชาคมการเมือง (the Capacity to Make the Political System Acceptable by members of the Political Community)

2. การรับช่วงอำนาจทางการเมืองอย่างสันติ (Peaceful transfer of Power)

3. ความต่อเนื่องของระบบการเมือง (continuity of the Political System)

ตัวแปรข้อหนึ่งที่ว่าความสามารถในการที่ทำให้ระบบการเมืองยอมรับโดยสมาชิกของประชาคมการเมืองนั้น หมายความว่า ถ้าระบบการเมืองนั้นสามารถใช้วิธีโฆษณาชวนเชื่อหรือแสดงความสามารถในการแก้ปัญหสังคม ทำให้เกิดความยอมรับหรือความชอบธรรมขึ้นโดยไม่ใช้กำลัง ทั้ง ๆ ที่ระบบนั้นอาจเป็นระบบที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความยุติธรรม แต่ถ้าสมาชิกสังคมยอมรับสภาพดังกล่าวโดยดุษฏี เช่น ยอมรับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าสมาชิกอื่นและยังให้ความสนับสนุนระบบการเมืองนั้นอย่างเต็มใจ ก็ถือว่า ระบบการเมืองนั้นมีความสามารถที่ทำให้เป็นที่ยอมรับและมีความชอบธรรม การกล่าวเช่นนี้ มิได้หมายความว่าเป็นการสนับสนุนระบบที่ขาดความยุติธรรมทางสังคม แต่เป็นการมองจากความเป็นจริงว่า มีสังคมจำนวนมากที่คนมีความแตกต่างและไม่เสมอภาคกัน แต่ก็ยังยอมรับระบบการเมือง ตัวอย่างดังกล่าวมีมากมายไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง

ตัวแปรตัวที่สองซึ่งได้แก่ การรับช่วงอำนาจทางการเมืองอย่างสันติ หมายถึงการเปลี่ยนตัวผู้นำต้องไม่เกิดจากการใช้อำนาจอาวุธหรืออำนาจทหาร หรือวิธีการอันรุนแรง ช่วงชิงอำนาจนั้น จะเป็นด้วยการสร้างประเพณีการสืบต่อ หรือการเลือกตั้งโดยมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน หรือการต่อรองในพรรคว่าใครควรจะสืบต่อ หรือผ่านการทดลองความสามารถเพื่อเป็นผู้นำโดยไปต่อสู้กับชีวิตคนเดียวบนเกาะที่มีภยันตรายต่าง ๆ ถ้ารอดชีวิตก็จะได้เป็นผู้นำซึ่งเป็นวิธีปฏิวัติของคนบางเผ่าในสมัยโบราณ ข้อสำคัญคือต้องไม่ใช้กำลังช่วงเชิง รัฐประหารยึดอำนาจ อะไรทำนองนี้ แต่เป็นปลายวิธีกันสันติ

ตัวแปรข้อที่สามคือ ความต่อเนื่องของระบบการเมือง หมายความว่า ระบบการเมืองนั้นต้องมีความต่อเนื่องพอสมควร ที่เห็นได้ชัดว่าระบบมีความต่อเนื่องก็คือระบบประชาธิปไตยอังกฤษ (ประมาณเจ็ดร้อยกว่าปี) อเมริกา (สองร้อยกว่าปี) สหภาพโซเวียต (60 ปี) แต่ปัญหาคือ เราจะเอาหลักเกณฑ์อะไรวัดความต่อเนื่อง ก็คงต้องอาศัยหลักเกณฑ์สองประการ คือถ้าระบบนั้นต่อเนื่องกันอย่างน้อยสองชั่วอายุคนและมีการสืบช่วงอำนาจให้เห็ฯด้วย เช่นระบบการปกครองของสุโขทัย แม้จะแตกสลายก็ถือได้ว่ามีความต่อเนื่องแต่หลักเกณฑ์ดังกล่าวตั้งขึ้นมาเป็นเพียงตัวอย่างระดับการให้คำจำกัดความเป็นระดับ onceptualization ส่วนการพิสูจน์การต่อเนื่องจริง ๆ เป็นระดับ operationalization ซึ่งย่อมมีหลักเกณฑ์แตกต่างกันไปแล้วแต่จะตั้งขึ้นและย่อมขึ้นอยู่กับการถกเถียงต่อไป

จากคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้นพอจะเห็นได้ว่าสามารถปรับวิเคราะห์ระบบการเมืองได้ทุกระบบ ทุกกาลสมัยว่ามีการพัฒนาการเมืองหรือไม่ ระบบการเมืองสุโขทัยถือว่ามีการพัฒนาการเมืองเพราะระบบเป็นที่ยอมรับผู้นำรับช่วงอำนาจโดยมีสันติมีความต่อเนื่อง แต่ระบบการปกรองสมัยอยุธยากลับมีระดับการพัฒนาการเมืองต่ำกว่าระบบการปกครองสมัยสุโขทัยในแง่การรับช่วงอำนาจโดยสันติการช่วงชิงอำนาจโดยใช้กำลังนั้นมีอยู่บ่อยครั้งในสมัยอยุธยา

ถ้าพิจารณาระหว่างสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเห็นว่าสหภาพโซเวียตมีระดับการพัฒนาสูงกว่า เนื่องจากการรับช่วงอำนาจเป็นไปโดยสันติกว่า ตอนครุซซอฟตกจากอำนาจก็กระทำกันภายในกลไกของพรรค แต่ในกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนต้องมีการจับ “แก๊งทั้งสี่” แต่ก็จัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างสงบ ขอให้สังเกตว่าในกรณีสองประเทศนี้มีความแตกต่างกันในระดับ (degree) ของการพัฒนาการเมือง แต่ไม่ถึงกับว่าประเทศหนึ่งมีการพัฒนาการเมือง แต่อีกประเทศหนึ่งไม่มี ในกรณีสาธารณรัฐประชาชนจีนอาจมีการเถียงได้ว่าความต่อเนื่องยังมีระยะเวลาสั้นมาก ประมาณ 30 ปี แต่เราพอจะอนุมานได้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือในเนื้อหาใหญ่ของระบบการเมืองการปกครองของสาธารณรัฐประชาชนจีนคงไม่เกิดขึ้น และระบบปัจจุบันควรดำเนินต่อไป

ถ้าใช้เกณฑ์อันเดียวกันนี้มาพิจารณาประเทศไทยก็ต้องสรุปได้ว่ายังไม่มีการพัฒนาการเมืองเพราะระบบการเมืองแบบทหารอาจมีการยอมรับโดยสมาชิกประชาคมส่วนหนึ่งแต่ก็ยังขาดความ่อเนรื่องและข้อสำคัญการสืบช่วงอำนาจนั้นไม่ได้เป็นไปโดยสันติ

คำถามที่ตามมาคือ ระบบการเมืองไทยสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจมาจนถึงการรับช่วงอำนาจต่อโดย จอมพลถนอม กิตติขจร และหลังมีการเลือกตั้งและจอมพลถนอมเป็นนายกรัฐมนตรีต่อนั้น จะถือว่ามีการพัฒนาการเมืองหรือไม่ คำตอบก็คือความต่อเนื่องสั้นเกินไปไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน จอมพลถนอมก็ทำการปฏิวัติยึดอำนาจอีกทั้ง ๆ ที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ โดยการสนับสนุนพรรคสหประชาไทย ดังนั้นกล่าวได้ว่า ไม่มีการพัฒนาการเมือง


องค์ประกอบอันเป็นสาระสำคัญของการพัฒนาทางการเมือง

สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ (2539, 35-36) ได้สรุปองค์ประกอบอันเป็นสาระสำคัญของการพัฒนาทางการเมือง จากผลงานของพาย (Pye 1966, 45-48) ออกเป็น 5 ประการดังนี้


ความเท่าเทียมกัน (Equality)


ซึ่งมีความหมายครอบคลุมทั้งความเท่าเทียมกันทางกฎหมาย ความเท่าเทียมกันในสิทธิทางการเมือง และความเท่าเทียมกันที่ประชาชนจะได้รับจากการให้บริการของรัฐ ทั้งทางบริการด้านการศึกษา สาธารณสุข ตลอกจนสิ่งอำนวยประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ


ความสามารถของระบบการเมือง (Capacity)


หมายถึง ความสามารถที่ระบบการเมืองจะตอบสนองความต้องการของประชาชน ทั้งในทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง โดยที่ระบบการเมืองจะต้องเปิดรับการควบคุม กำกับและตรวจสอบจากประชาชน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการตัดสินใจใดใดทางการเมือง จะเสริมสร้างให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดีโดยเสมอภาคกัน


การแบ่งโครงสร้างทางการเมืองให้มีความแตกต่างและมีความชำนาญเฉพาะ

ในประการนี้ สอดคล้องกับทัศนะของอัลมอนด์และเพาเวลล์ (Almond and Powell 1966, 299-300) ที่เห็นว่า องค์ประกอบสำคัญด้านหนึ่งของการพัฒนาการเมืองก็คือ การแบ่งโครงสร้างทางการเมืองให้มีความแตกต่างและมีความชำนาญเฉพาะ (Differentiation and Specialization) เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ตรงเฉพาะทาง ส่วนการจัดแบ่งโครงสร้างทางการเมืองออกเป็นฝ่ายต่าง ๆ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ เป็นต้นนั้น เป็นไปเพื่อให้แต่ละฝ่ายสามารถจัดหาบุคลากรมีความความชำนาญเฉพาะในการปกิบัต ิงานตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีเหตุมีผล (Secularization of Political Culture)

โดยทั่วไปนั้นสังคมแบบดั้งเดิมที่ปกครองแบบอำนาจนิยมมักจะปลูกฝังให้ประชาชนยึดมั่นใจจารีตประเพณีอย่าง ขาดเหตุผล ยึดถือเรื่องโชคลาง รวมไปถึงการปลูกฝังให้ประชาชนเห็นว่า ผู้ปกครองเป็นผู้ที่มีบุญญาบารมี การพัฒนาทางการเมืองจึงเป็นไปในทางมุ่งส่งเสริมให้ประชาชนให้เหตุผลในการ ดำรงชีวิต โดยเฉพาะความเป็นเหตุเป็นผลที่ประชาชนจะต้องควบคุม กำกับและตรวจสอบการเมืองอย่างใกล้ชิด อัลมอนด์และเพาเวลล์ (Almond and Powell 1966, 299-300) กล่าวไว้ว่า ลักษณะของวัฒนธรรมทางการเมืองแบบเป็นเหตุเป็นผลนี้ มักจะพบได้ทั่วไปในสังคมอุตสาหกรรม


ความเป็นอิสระของระบบย่อย (Subsystem Autonomy)


คือผลผลิตของการกระจายอำนาจทางการเมือง เพื่อให้ระบบย่อยมีอำนาจในการพิจารณาปัญหา สาเหตุความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชน รวมไปถึงการกำหนดแนวทางในการที่จะแก้ไขปัญหา หรือเสริมสร้างความสามารถในการตอบสนองความต้องการของประชาชนให้มี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ฮันติงตัน (Samuel P. Huntington 1968, 34-35 อ้างถึงในสมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์ 2539, 36) ได้ชี้ให้เห็นว่า การพัฒนาการเมือง มีความแตกต่างไปจากการทำการเมืองให้ทันสมัย กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงการเมืองให้ทันสมัย หมายถึง การแบ่งโครงสร้างทางการเมืองให้มีความแตกต่างซับซ้อนมากขึ้น การเสริมสร้างเอกภาพอำนาจในการปกครองและการส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการ เมืองของประชาชน แต่การพัฒนาการเมืองเป็นเรื่องของการสร้างความเป็นสถาบัน (Institutionalization) ซึ่งได้แก่ การสร้างระบบการเมืองให้มีความสามารถในการปรับตัว (Adaptability) มีองค์กรที่ซับซ้อน (Complexity) มีความเป็นกลุ่มก้อน (Coherence) และมีความเป็นอิสระ (Autonomy) ซึ่งลักษณะเหล่านี้จะทำให้สถาบันทางการเมืองสามารถสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ


อาจกล่าวสรุปความได้ว่าการพัฒนาทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยดังเช่นในประเทศไทย ซึ่งจัดเป็นการปกครองแบบทางอ้อมผ่านผู้แทนใช้อำนาจอธิปไตยแห่งรัฐในนาม ประชาชน หรือที่เรียกว่าประชาธิปไตยแบบตัวแทน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างหลักประกันทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนสามารถเชื่อมั่นและวางใจได้ว่า ผู้แทนที่เขาเลือกตั้งเข้าไป จะใช้อำนาจเพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งหมายความถึงประชาชนและสังคมเป็นส่วนรวม บนหลักการความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อผลประโยชน์ของมวลชน ด้วยความรับผิดชอบ โดยเฉพาะการคาดหมายถึงที่จะเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจทางการเมืองการปกครอง นี่คือหลักการสำคัญอันก่อให้เกิดและจำเป็นต้องมีการพัฒนาทางการเมือง ภายใต้วัตถุประสงค์สำคัญที่จะสร้างความสามารถ/สมรรถนะของระบบการเมืองเพื่อให้ระบบการเมืองมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในทางปฏิบัติการอย่างแท้จริง ซึ่งหากมองในแนวคิดเชิงระบบการเมือง นั่นหมายถึง การที่ระบบการเมือง สามารถนำเอาข้อเรียกร้อง ปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการต่าง ๆ ของประชาชนเข้าสู่ระบบการเมือง กลั่นกรองออกมาเป็นผลสำเร็จในรูปของนโยบาย มาตรการ แนวทาง การจัดบริการสาธารณะต่าง ๆ ที่เราเรียกกันว่า การจัดสรรทรัพยากรและสิ่งที่มีคุณค่าในสังคม เพื่อให้กระจายไปเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมอย่างทั่วถึง เพียงพอและเท่าเทียมกัน เป็นพื้นฐานของความยุติธรรมสอดคล้องกับปรัชญาอุดมการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่ยึดถือ การพัฒนาทางการเมือง จึงเป็นสิ่งที่ดำเนินไปโดยมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์สำคัญคือ ความอยู่รอดของรัฐ เช่นที่อภิญญา รัตนมงคลมาศและวิวัฒน์ คติธรรมนิตย์ (2547, 155) สรุปไว้ ทั้งนี้เนื่องจากความอยู่รอดของรัฐขึ้นอยู่กับการมีรูปแบบการปกครองที่ ประชาชนต้องการให้เกิดขึ้น หรือรูปแบบการปกครองของ รัฐจะต้องเป็นไปตามความต้องการของประชาชน และประชาชนจะแสดงพฤติกรรมทางการเมืองของตนตามรูปแบบที่กำหนดไว้ตามหลักการปกครองของรัฐ (Linz and Stepan 1996, 7-15)



Reference:
*ลิขิต ธีรเวคิน, ศูนย์วิจัยคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
* สมบัติ ธำรงค์ธัญวงศ์. 2539. ทัศนคติทางการเมืองของเด็กและเยาวชนในกรุงเทพมหานคร. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โครงการเอกสารและตำรา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
* อภิญญา รัตนมงคลมาศและวิวัฒน์ คติธรรมนิตย์. 2547. คนไทยกับการเมือง: ปีติฤๅวิปโยค. กรุงเทพฯ: สถาบันนโยบายศึกษา
* Bill, James A., and Hardgrave, Robert L. 1973. Comparative Politics : The Quest for Theory. Columbus Ohio: Charles E. Merrill Publishing Company
* Pye, Lucian W. 1966. Aspect of Political Development. Boston: Little Brown and Company
* Pye, Lucian W, and Verba, Sydney. 1965. Political Culture and Political Development. Princeton: Princeton University Press.
* Linz, Juan J., and Stepan, Alfred. 1996. Problems of Democratic Transition and Consolidation. Baltimore and London: The John Hopskin University Press
*วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Keywords: ทฤษฎีการพัฒนาการเมือง, ทฤษฎีการพัฒนาการเมือง (Political Development), ทฤษฎีพัฒนาการเมือง

The Clash of Civilizations?

The Clash of Civilizations?

by Samuel P. Huntington

(1995)

 

SAMUEL P. HUNTINGTON is the Eaton Professor of the Science of Government and Director of the John M. Olin Institute for Strategic Studies at Harvard University. This article is the product of the Olin Institute's project on "The Changing Security Environment and American National Interests."

THE NEXT PATTERN OF CONFLICT WORLD POLITICS IS entering a new phase, and intellectuals have not hesitated to proliferate visions of what it will be -- the end of history, the return of traditional rivalries between nation states, and the decline of the nation state from the conflicting pulls of tribalism and globalism, among others. Each of these visions catches aspects of the emerging reality. Yet they all miss a crucial, indeed a central, aspect of what global politics is likely to be in thecoming years.

It is my hypothesis that the fundamental source of conflict in this new worldwill not be primarily ideological or primarily economic. The great divisions among humankind and the dominating source of conflict will be cultural. Nation states will remain the most powerful actors in world affairs, but the principal conflicts of global politics will occur between nations and groups of different civilizations. The clash of civilizations will be the battle lines of the future.

Conflict between civilizations will be the latest phase of the evolution of conflict in the modern world. For a century and a half after the emergence of the modern international system of the Peace of Westphalia, the conflicts of theWestern world were largely among princes -- emperors, absolute monarchs and constitutional monarchs attempting to expand their bureaucracies, their armies, their mercantilist economic strength and, most important, the territory they ruled. In the process they created nation states, and beginning with the FrenchRevolution the principal lines of conflict were between nations rather than princes. In 1793, as R. R. Palmer put it, "The wars of kings were over; the ward of peoples had begun." This nineteenth-century pattern lasted until the endof World War I. Then, as a result of the Russian Revolution and the reaction against it, the conflict of nations yielded to the conflict of ideologies, firstamong communism, fascism-Nazism and liberal democracy, and then between communism and liberal democracy. During the Cold War, this latter conflict became embodied in the struggle between the two superpowers, neither of which was a nation state in the classical European sense and each of which defined itsidentity in terms of ideology.

These conflicts between princes, nation states and ideologies were primarily conflicts within Western civilization, "Western civil wars," as William Lind haslabeled them. This was as true of the Cold War as it was of the world wars and the earlier wars of the seventeenth, eighteenth and nineteenth centuries. With the end of the Cold War, international politics moves out of its Western phase, and its center-piece becomes the interaction between the West and non-Western civilizations and among non-Western civilizations. In the politics of civilizations, the people and governments of non-Western civilizations no longerremain the objects of history as targets of Western colonialism but join the West as movers and shapers of history.

THE NATURE OF CIVILIZATIONS DURING THE COLD WAR the world was divided into the First, Second and Third Worlds. Those divisions are no longer relevant. It is far more meaningfulnow to group countries not in terms of their political or economic systems or interms of their level of economic development but rather in terms of their culture and civilization.

What do we mean when we talk of a civilization? A civilization is a culturalentity. Villages, regions, ethnic groups, nationalities, religious groups, all have distinct cultures at different levels of cultural heterogeneity. The culture of a village in southern Italy may be different from that of a village in northern Italy, but both will share in a common Italian culture that distinguishes them from German villages. European communities, in turn, will share cultural features that distinguish them from Arab or Chinese communities. Arabs, Chinese and Westerners, however, are not part of any broader cultural entity. They constitute civilizations. A civilization is thus the highest cultural grouping of people and the broadest level of cultural identity people have short of that which distinguishes humans from other species. It is defined both by common objective elements, such as language, history, religion, customs,institutions, and by the subjective self-identification of people. People have levels of identity: a resident of Rome may define himself with varying degrees of intensity as a Roman, an Italian, a Catholic, a Christian, a European, a Westerner. The civilization to which he belongs is the broadest level of identification with which he intensely identifies. People can and do redefine their identities and, as a result, the composition and boundaries of civilizations change.

Civilizations may involve a large number of people, as with China ("a civilization pretending to be a state," as Lucian Pye put it), or a very small number of people, such as the Anglophone Caribbean. A civilization may include several nation states, as is the case with Western, Latin American and Arab civilizations, or only one, as is the case with Japanese civilization. Civilizations obviously blend and overlap, and may include subcivilizations. Western civilization has two major variants, European and North American, and Islam has its Arab, Turkic and Malay subdivisions. Civilizations are nonetheless meaningful entities, and while the lines between them are seldom sharp, they are real. Civilizations are dynamic; they rise and fall; they divide and merge. And, as any student of history knows, civilizations disappearand are buried in the sands of time.

Westerners tend to think of nation states as the principal actors in global affairs. They have been that, however, for only a few centuries. The broader reaches of human history have been the history of civilizations. In A Study of History, Arnold Toynbee identified 21 major civilizations; only six of them exist in the contemporary world.

WHY CIVILIZATIONS WILL CLASH CIVILIZATION IDENTITY will be increasingly important in the future, and the world will be shaped in large measure by the interactions among seven or eight major civilizations. These include Western, Confucian, Japanese, Islamic, Hindu, Slavic-Orthodox, Latin American and possibly African civilization. The most important conflicts of the future will occur along the cultural fault linesseparating these civilizations from one another.

Why will this be the case?

First, differences among civilizations are not only real; they are basic. Civilizations are differentiated from each other by history, language, culture, tradition and, most important, religion. The people of different civilizations have different views on the relations between God and man, the individual and the group, the citizen and the state, parents and children, husband and wife, aswell as differing views of the relative importance of rights and responsibilities, liberty and authority, equality and hierarchy. These differences are the product of centuries. They will not soon disappear. They are far more fundamental than differences among political ideologies and political regimes. Differences do not necessarily mean conflict, and conflict does not necessarily mean violence. Over the centuries, however, differences among civilizations have generated the most prolonged and the most violent conflicts.

Second, the world is becoming a smaller place. The interactions between peoples of different civilizations are increasings; these increasing interactions intensify civilization consciousness and awareness of differences between civilizations and commonalities within civilizations. North African immigration to France generates hostility among Frenchmen and at the same time increased receptivity to immigration by "good" European Catholic Poles. Americans react far more negatively to Japanese investment than to larger investments from Canada and European countries. Similarly, as Donald Horowitz has pointed out, "An Ibo may be . . . an Owerri Ibo or an Onitsha Ibo in what was the Eastern region of Nigeria. In Lagos, he is simply an Ibo. In London, he is a Nigerian. In New York, he is an African." The interactions among peoples of different civilizations enhance the civilization-consciousness of people that, in turn, invigorates differences and animosities stretching or thought to stretch back deep into history.

Third, the processes of economic modernization and social change throughout the world are separating people from longstanding local identities. They also weaken the nation state as a source of identity. In much of the world religion has moved in to fill this gap, often in the form of movements that are labeled "fundamentalist." Such movements are found in Western Christianity, Judaism, Buddhism and Hinduism, as well as in Islam. In most countries and most religions the people active in fundamentalist movements are young, college-educated, middle-class technicians, professionals and business persons. The "unsecularization of the world," George Weigel has remarked, "is one of the dominant social factors of life in the late twentieth century." The revival of religion, "la revanche de Dieu," as Gilles Kepel labeled it, provides a basis for identity and commitment that transcends national boundaries and unites civilizations.

Fourth, the growth of civilization-consciousness is enhanced by the dual roleof the West. On the one hand, the West is at a peak of power. At the same time, however, and perhaps as a result, a return to the roots phenomenon is occurring among non-Western civilizations. Increasingly one hears references totrends toward a turning inward and "Asianization" in Japan, the end of the Nehru legacy and the "Hinduization" of India, the failure of Western ideas of socialism and nationalism and hence "re-Islamization" of the Middle East, and now a debate over Westernization versus Russianization in Boris Yeltsin's country. A West at the peak of its power confronts non-Wests that increasingly have the desire, the will and the resources to shape the world in non-Western ways.

In the past, the elites of non-Western societies were usually the people who were most involved with the West, had been educated at Oxford, the Sorbonne or Sandhurst, and had absorbed Western attitudes and values. At the same time, thepopulace in non-Western countries often remained deeply imbued with the indigenous culture. Now, however, these relationships are being reversed. A de-Westernization and indigenization of elites is occurring in many non-Western countries at the same time that Western, usually American, cultures, styles and habits become more popular among the mass of the people.

Fifth, cultural characteristics and differences are less mutable and hence less easily compromised and resolved than political and economic ones. In the former Soviet Union, communists can become democrats, the rich can become poor and the poor rich, but Russians cannot become Estonians and Azeris cannot becomeArmenians. In class and ideological conflicts, the key question was "Which sideare you on?" and people could and did choose sides and change sides. In conflicts between civilizations, the question is "What are you?" That is a giventhat cannot be changed. And as we know, from Bosnia to the Caucasus to the Sudan, the wrong answer to that question can mean a bullet in the head. Even more than ethnicity, religion discriminates sharply and exclusively among people. A person can be half-French and half-Arab and simultaneously even a citizen of two countries. It is more difficult to be half-Catholic and half-Muslim.

Finally, economic regionalism is increasing. The proportions of total trade that are intraregional rose between 1980 and 1989 from 51 percent to 59 percent in Europe, 33 percent to 37 percent in East Asia, and 32 percent to 36 percent in North America. The importance of regional economic blocs is likely to continue to increase in the future. On the one hand, successful economic regionalism will reinforce civilization-consciousness. On the other hand, economic regionalism may succeed only when it is rooted in a common civilization. The European Community rests on the shared foundation of Europeanculture and Western Christianity. The success of the North American Free Trade Area depends on the convergence now underway of Mexican, Canadian and American cultures. Japan, in contrast, faces difficulties in creating a comparable economic entity in East Asia because Japan is a society and civilization unique to itself. However strong the trade and investment links Japan may develop withother East Asian countries, its cultural differences with those countries inhibit and perhaps preclude its promoting regional economic integration like that in Europe and North America.

Common culture, in contrast, is clearly facilitating the rapid expansion of the economic relations between the People's Republic of China and Hong Kong, Taiwan, Singapore and the overseas Chinese communities in other Asian countries. With the Cold War over, cultural commonalities increasingly overcomeideological differences, and mainland China and Taiwan move closer together. Ifcultural commonality is a prerequisite for economic integration, the principal East Asian economic bloc of the future is likely to be centered on China. This bloc is, in fact, already coming into existence. As Murray Weidenbaum has observed,

Despite the current Japanese dominance of the region, the Chinese-based economy of Asia is rapidly emerging as a new epicenter for industry, commerce and finance. This strategic area contains substantial amounts of technology andmanufacturing capability (Taiwan), outstanding entrepreneurial, marketing and services acumen (Hong Kong), a fine communications network (Singapore), a tremendous pool of financial capital (all three), and very large endowments of land, resources and labor (mainland China). . . . From Guangzhou to Singapore,from Kuala Lumpur to Manila, this influential network -- often based on extensions of the traditional clans -- has been described as the backbone of theEast Asian economy. n1

n1 Murray Weidenbaum, Greater China: The Next Economic Superpower?, St. Louis: Washington University Center for the Study of American Business, Contemporary Issues, Series 57, February 1993, pp. 2-3.

Culture and religion also form the basis of the Economic Cooperation Organization, which brings together ten non-Arab Muslim countries: Iran, Pakistan, Turkey, Azerbaijan, Kazakhstan, Kyrgyzstan, Turkmenistan, Tadjikistan,Uzbekistan and Afghanistan. One impetus to the revival and expansion of this organization, founded originally in the 1960s by Turkey, Pakistan and Iran, is the realization by the leaders of several of these countries that they had no chance of admission to the European Community. Similarly, Caricom, the Central American Common Market and Mercosur rest on common cultural foundations. Efforts to build a broader Caribbean-Central American economic entity bridging the Anglo-Latin divide, however, have to date failed.

As people define their identity in ethnic and religious terms, they are likely to see an "us" versus "them" relation existing between themselves and people of different ethnicity or religion. The end of ideologically defined states in Eastern Europe and the former Soviet Union permits traditional ethnic identities and animosities to come to the fore. Differences in culture and religion create differences over policy issues, ranging from human rights to immigration to trade and commerce to the environment. Geographical propinquity gives rise to conflicting territorial claims from Bosnia to Mindanao. Most important, the efforts of the West to promote its values of democracy and liberalism to universal values, to maintain its military predominance and to advance its economic interests engender countering responses from other civilizations. Decreasingly able to mobilize support and form coalitions on thebasis of ideology, governments and groups will increasingly attempt to mobilize support by appealing to common religion and civilization identity.

The clash of civilizations thus occurs at two levels. At the micro-level, adjacent groups along the fault lines between civilizations struggle, often violently, over the control of territory and each other. At the macro-level, states from different civilizations compete for relative military and economic power, struggle over the control of international institutions and third parties, and competitively promote their particular political and religious values.

THE FAULT LINES BETWEEN CIVILIZATIONS THE FAULT LINES between civilizations are replacing the political and ideological boundaries of the Cold War as the flash points for crisis and bloodshed. The Cold War began when the Iron Curtain divided Europe politically and ideologically. The Cold War ended with the end of the Iron Curtain. As theideological division of Europe has disappeared, the cultural division of Europe between Western Christianity, on the one hand, and Orthodox Christianity and Islam, on the other, has reemerged. The most significant dividing line in Europe, as William Wallace has suggested, may well be the eastern boundary of Western Christianity in the year 1500. This line runs along what are now the boundaries between Finland and Russia and between the Baltic states and Russia, cuts through Belarus and Ukraine separating the more Catholic western Ukraine from Orthodox eastern Ukraine, swings westward separating Transylvania from the rest of Romania, and then goes through Yugoslavia almost exactly along the line now separating Croatia and Slovenia from the rest of Yugoslavia. In the Balkans this line, of course, coincides with the historic boundary between the Hapsburg and Ottoman empires. The peoples to the north and west of this line are Protestant or Catholic; they shared the common experiences of European history -- feudalism, the Renaissance, the Reformation, the Enlightenment, the French Revolution, the Industrial Revolution; they are generally economically better off than the peoples to the east; and they may now look forward to increasing involvement in a common European economy and to the consolidation of democratic political systems. The peoples to the east and south of this line are Orthodox or Muslim; they historically belonged to the Ottoman or Tsarist empires and were only lightly touched by the shaping events in the rest of Europe; they are generally less advanced economically; they seem much less likely to develop stable democratic political systems. The Velvet Curtain of culture has replaced the Iron Curtain of ideology as the most significant dividing line in Europe. As the events in Yugoslavia show, it is not only a line of difference; it is also at times a line of bloody conflict.

Conflict along the fault line between Western and Islamic civilizations has been going on for 1,300 years. After the founding of Islam, the Arab and Moorish surge west and north only ended at Tours in 732. From the eleventh to the thirteenth century the Crusaders attempted with temporary success to bring Christianity and Christian rule to the Holy Land. From the fourteenth to the seventeenth century, the Ottoman Turks reversed the balance, extended their swayover the Middle East and the Balkans, captured Constantinople, and twice laid siege to Vienna. In the nineteenth and early twentieth centuries at Ottoman power declined Britain, France, and Italy established Western control over most of North Africa and the Middle East.

After World War II, the West, in turn, began to retreat; the colonial empiresdisappeared; first Arab nationalism and then Islamic fundamentalism manifested themselves; the West became heavily dependent on the Persian Gulf countries for its energy; the oil-rich Muslim countries became money-rich and, when they wished to, weapons-rich. Several wars occurred between Arabs and Israel (created by the West). France fought a bloody and ruthless war in Algeria for most of the 1950s; British and French forces invaded Egypt in 1956; American forces returned to Lebanon, attacked Libya, and engaged in various military encounters with Iran; Arab and Islamic terrorists, supported by at least three Middle Eastern governments, employed the weapon of the weak and bombed Western planes and installations and seized Western hostages. This warfare between Arabs and the West culminated in 1990, when the United States sent a massive army to the Persian Gulf to defend some Arab countries against aggression by another. In its aftermath NATO planning is increasingly directed to potential threats and instability along its "southern tier."

This centuries-old military interaction between the West and Islam is unlikely to decline. It could become more virulent. The Gulf War left some Arabs feeling proud that Saddam Hussein had attacked Israel and stood up to the West. It also left many feeling humiliated and resentful of the West's militarypresence in the Persian Gulf, the West's overwhelming military dominance, and their apparent inability to shape their own destiny. Many Arab countries, in addition to the oil exporters, are reaching levels of economic and social development where autocratic forms of government become inappropriate and efforts to introduce democracy become stronger. Some openings in Arab politicalsystems have already occurred. The principal beneficiaries of these openings have been Islamist movements. In the Arab world, in short, Western democracy strengthens anti-Western political forces. This may be a passing phenomenon, but it surely complicates relations between Islamic countries and the West. Those relations are also complicated by demography. The spectacular population growth in Arab countries, particularly in North Africa, has led to increased migration to Western Europe. The movement within Western Europe toward minimizing internal boundaries has sharpened political sensitivities withrespect to this development. In Italy, France and Germany, racism is increasingly open, and political reactions and violence against Arab and Turkishmigrants have become more intense and more widespread since 1990.

On both sides the interaction between Islam and the West is seen as a clash of civilizations. The West's "next confrontation," observes M. J. Akbar, an Indian Muslim author, "is definitely going to come from the Muslim world. It isin the sweep of the Islamic nations from the Meghreb to Pakistan that the struggle for a new world order will begin." Bernard Lewis comes to a regular conclusion:

"We are facing a meed and a movement far transcending the level of issues andpolicies and the governments that pursue them. This is no less than a clash of civilizations -- the perhaps irrational but surely historic reaction of an ancient rival against our Judeo-Christian heritage, our secular present, and theworldwide expansion of both. n2

n2 Bernard Lewis, "The Roots of Muslim Rage," The Atlantic Monthly, vol. 266,September 1990, p. 60; Time, June 15k 1992, pp. 24-28.

Historically, the other great antagonistic interaction of Arab Islamic civilization has been with the pagan, animist, and now increasingly Christian black peoples to the south. In the past, this antagonism was epitomized in the image of Arab slave dealers and black slaves. It has been reflected in the on-going civil war in the Sudan between Arabs and blacks, the fighting in Chad between Libyan-supported insurgents and the government, the tensions between Orthodox Christians and Muslims in the Horn of Africa, and the political conflicts, recurring riots and communal violence between Muslims and Christians in Nigeria. The modernization of Africa and the spread of Christianity in Nigeria. The modernization of Africa and the spread of Christianity are likely to enhance the probability of violence along this fault line. Symptomatic of the intensification of this conflict was the Pope John Paul II's speech in Khartoum in February 1993 attacking the actions of the Sudan's Islamist government against the Christian minority there.

On the northern border of Islam, conflict has increasingly erupted between Orthodox and Muslim peoples, including the carnage of Bosnia and Sarajevo, the simmering violence between Serb and Albanian, the tenuous relation between Bulgarians and their Turkish minority, the violence between Ossetians and Ingush, the unremitting slaughter of each other by Armenians and Azeris, the tense relations between Russians and Muslims in Central Asia, and the deploymentof Russian troops to protect Russian interests in the Caucasus and Central Asia.Religion reinforces the revival of ethnic identities and restimulates Russian fears about the security of their southern borders. This concern is well captured by Archie Roosevelt:

Much of Russian history concerns the struggle between Slavs and the Turkish peoples on their borders, which dates back to the foundation of the Russian state more than a thousand years ago. In the Slavs' millennium-long confrontation with their eastern neighbors lies the key to an understanding not only of Russian history, but Russian character. To under Russian realities today one has to have a concept of the great Turkic ethnic group that has preoccupied Russians through the centuries. n3

n3 Archie Roosevelt, For Lust of Knowing, Boston: Little, Brown, 1988, pp. 332-333.

The conflict of civilizations is deeply rooted elsewhere in Asia. The historic clash between Muslim and Hindu in the subcontinent manifests itself nownot only is the rivalry between Pakistan and India but also in intensifying religious strife within India between increasingly militant Hindu groups and India's substantial Muslim minority. The destruction of the Ayodhya mosque in December 1992 brought to the fore the issue of whether India will remain a secular democratic state or become a Hindu one. In East Asia, China has outstanding territorial disputes with most of its neighbors. It has pursued a ruthless policy toward the Buddhist people of Tibet, and it is pursuing an increasingly ruthless policy toward its Turkic-Muslim minority. With the Cold War over, the underlying differences between China and the United States have reasserted themselves in areas such as human rights, trade and weapons proliferation. These differences are unlikely to moderate. A "new cold war," Deng Xaioping reportedly asserted in 1991, is under way between China and America.

The same phrase has been applied to the increasingly difficult relations between Japan and the United States. Here cultural difference exacerbates economic conflict. People on each side allege racism on the other, but at leaston the American side the antipathies are not racial but cultural. The basic values, attitudes, behavioral patterns of the two societies could hardly be moredifferent. The economic issues between the United States and Europe are no lessserious than those between the United States and Japan, but they do not have thesame political salience and emotional intensity because the differences between American culture and European culture are so much less than those between American civilization and Japanese civilization.

The interactions between civilizations vary greatly in the extent to which they are likely to be characterized by violence. Economic competition clearly predominates between the American and European subcivilizations of the West and between both of them and Japan. On the Eurasian continent, however, the proliferation of ethnic conflict, epitomized at the extreme in "ethnic cleansing," has not been totally random. It has been most frequent and most violent between groups belonging to different civilizations. In Eurasia the great historic fault lines between civilizations are once more aflame. This is particularly true along the boundaries of the crescent-shaped Islamic bloc of nations from the bulge of Africa to central Asia. Violence also occurs between Muslims, on the one hand, and Orthodox Serbs in the Balkans, Jews in Israel, Hindus in India, Buddhists in Burma and Catholics in the Philippines. Islam hasbloody borders.

CIVILIZATION RALLYING: THE KIN-COUNTRY SYNDROME GROUPS OR STATES belonging to one civilization that become involved in war with people from a different civilization naturally try to rally support from other members of their own civilization. As the post-Cold War world evolves, civilization commonality, what H. D. S. Greenway has termed the "kin-country" syndrome, is replacing political ideology and traditional balance of power considerations as the principal basis for cooperation and coalitions. It can beseen gradually emerging in the post-Cold War conflicts in the Persian Gulf, the Caucasus and Bosnia. None of these was a full-scale war between civilizations, but each involved some elements of civilization rallying, which seemed to become more important as the conflict continued and which may provide a foretaste of the future.

First, in the Gulf War one Arab state invaded another and then fought a coalition of Arab, Western and other states. While only a few Muslim governments overtly supported Saddam Hussein, many Arab elites privately cheeredhim on, and he was highly popular among large sections of the Arab publics. Islamic fundamentalist movements universally supported Iraq rather than the Western-backed governments of Kuwait and Saudi Arabia. Forswearing Arab nationalism, Saddam Hussein explicitly invoked an Islamic appeal. He and his supporters attempted to define the was as a war between civilizations. "It is not the world against Iraq," as Safar Al-Hawali, dean of Islamic Studies at the Umm Al-Qura University in Mecca, put it in a widely circulated tape. "It is theWest against Islam." Ignoring the rivalry between Iran and Iraq, the chief Iranian religious leader, Ayatollah Ali Khamenei, called for a holy war against the West: "The struggle against American aggression, greed, plans and policies will be counted as a jahad, and anybody who is killed on that path is a martyr.""This is a war," King Hussein of Jordan argued, "against all Arabs and all Muslims and not against Iraq alone."

The rallying of substantial sections of Arab elites and publics behind SaddamHussein called those Arab governments in the anti-Iraq coalition to moderate their activities and temper their public statements. Arab governments opposed or distanced themselves from subsequent Western efforts to apply pressure on Iraq, including enforcement of a no-fly zone in the summer of 1992 and the bombing of Iraq in January 1993. The Western-Soviet-Turkish-Arab anti-Iraq coalition of 1990 had by 1993 become a coalition of almost only the West and Kuwait against Iraq.

Muslims contrasted Western actions against Iraq with the West's failure to protect Bosnians against Serbs and to impose sanctions on Israel for violating U.N. resolutions. The West, they allege, was using a double standard. A world of clashing civilizations, however, is inevitably a world of double standards: people apply one standard to their kin-countries and a different standard to others.

Second, the kin-country syndrome also appeared in conflicts in the former Soviet Union. Armenian military successes in 1992 and 1993 stimulated Turkey tobecome increasingly supportive of its religious, ethnic and linguistic brethren in Azerbaijan. "We have a Turkish nation feeling the same sentiments as the Azerbaijanis," said one Turkish official in 1992. "We are under pressure. Our newspapers are full of the photos of atrocities and are asking us if we are still serious about pursuing our neutral policy. Maybe we should show Armenia that there's a big Turkey in the region." President Turgut Ozal agreed, remarking that Turkey should at least "scare the Armenians a little bit." Turkey, Ozal threatened again in 1993, would "show its fangs." Turkey Air Force jets flew reconnaissance flights along the Armenian border; Turkey suspended food shipments and air flights to Armenia; and Turkey and Iran announced they would not accept dismemberment of Azerbaijan. In the last years of its existence, the Soviet government supported Azerbaijan because its government was dominated by former communists. With the end of the Soviet Union, however, political considerations gave way to religious ones. Russian troops fought on the Side of the Armenians, and Azerbaijan accused the "Russian government of turning 180 degrees" toward support for Christian Armenia.

Third, with respect to the fighting in the former Yugoslavia, Western publicsmanifested sympathy and support for the Bosnian Muslims and the horrors they suffered at the hands of the Serbs. Relatively little concern was expressed, however, over Croatian attacks on Muslims and participation in the dismembermentof Bosnia-Herzegovina. In the early stages of the Yugoslav breakup, Germany, inan unusual display of diplomatic initiative and muscle, induced the other 11 members of the European Community to follow its lead in recognizing Slovenia andCroatia. As a result of the pope's determination to provide strong backing to the two Catholic countries, the Vatican extended recognition even before the Community did. The United States followed the European lead. Thus the leading actors in Western civilization rallied behind its coreligionists. Subsequently Croatia was reported to be receiving substantial quantities of arms from Central European and other Western countries. Boris Yeltsin's government, on the other hand, attempted to pursue a middle course that would be sympathetic tothe Orthodox Serbs but not alienate Russia from the West. Russian conservative and nationalist groups, however, including many legislators, attacked the government for not being more forthcoming in its support for the Serbs. By early 1993 several hundred Russians apparently were serving with the Serbian forces, and reports circulated of Russian arms being supplied to Serbia.

Islamic governments and groups, on the other hand, castigated the West for not coming to the defense of the Bosnians. Iranian leaders urged Muslims from all countries to provide help to Bosnia; in violation of the U.N. arms embargo, Iran supplied weapons and men for the Bosnians; Iranian-supported Lebanese groups sent guerrillas to train and organize the Bosnian forces. In 1993 up to 4,000 Muslims from over two dozen Islamic countries were reported to be fightingin Bosnia. The governments of Saudia Arabia and other countries felt under increasing pressure from fundamentalist groups in their own societies to providemore vigorous support for the Bosnians. By the end of 1992, Saudi Arabia had reportedly supplied substantial funding for weapons and supplies for the Bosnians, which significantly increased their military capabilities vis-a-vis the Serbs.

In the 1930s the Spanish Civil War provoked intervention from countries that politically were fascist, communist and democratic. In the 1990s the Yugoslav conflict is provoking intervention from countries that are Muslim, Orthodox and Western Christian. The parallel has not gone unnoticed. "The war in Bosnia-Herzegovina has become the emotional equivalent of the fight against fascism in the Spanish Civil War," one Saudi editor observed. "Those who died there are regarded as martyrs who tried to save their fellow Muslims."

Conflicts and violence will also occur between states and groups within the same civilization. Such conflicts, however, are likely to be less intense and less likely to expand than conflicts between civilizations. Common membership in a civilization reduces the probability of violence in situations where it might otherwise occur. In 1991 and 1992 many people were alarmed by the possibility of violent conflict between Russia and Ukraine over territory, particularly Crimea, the Black Sea fleet, nuclear weapons and economic issues. If civilization is what counts, however, the likelihood of violence between Ukrainians and Russians should be low. They are two Slavic, primarily Orthodox peoples who have had close relationships with each other for centuries. As of early 1993, despite all the reasons for conflict, the leaders of the two countries were effectively negotiating and defusing the issues between the two countries. While there has been serious fighting between Muslims and Christianselsewhere in the former Soviet Union and much tension and some fighting between Western and Orthodox Christians in the Baltic states, there has been virtually no violence between Russians and Ukrainians.

Civilization rallying to date has been limited, but it has been growing, and it clearly has the potential to spread much further. As the conflicts in the Persian Gulf, the Caucasus and Bosnia continued, the positions of nations and the cleavages between them increasingly were along civilizational lines. Populist politicians, religious leaders and the media have found it a potential means of arousing mass support and of pressuring hesitant governments.In the coming years, the local conflicts most likely to escalate into major warswill be those, as in Bosnia and the Caucasus, along the fault lines between civilizations. The next world war, if there is one, will be a war between civilizations.

THE WEST VERSUS THE REST THE WEST IS NOW at an extraordinary peak of power in relation to other civilizations. In superpower opponent has disappeared from the map. Military conflict among Western states is unthinkable, and Western military power is unrivaled. Apart from Japan, the West faces no economic challenge. It dominates international economic institutions. Global political and security issues are effectively settled by a directorate of the United States, Britain and France, world economic issues by a directorate of the United States, Germanyand Japan, all of which maintain extraordinarily close relations with each otherto the exclusion of lesser and largely non-Western countries. Decisions made atthe U.N. Security Council or in the International Monetary Fund that reflect the interests of the West are presented to the world as reflecting the desires of the world community. The very phrase "the world community" has become the euphemistic collective noun (replacing "the Free World") to give global legitimacy to actions reflecting the interests of the United States and other Western powers. n4 Through the IMF and other international economic institutions, the West promotes its economic interests and imposes on other nations the economic policies it thinks appropriate. In any poll of non-Westernpeoples, the IMF undoubtedly would win the support of finance ministers and a few others, but get an overwhelmingly unfavorable rating from jusat about everyone else, who would agree with Georgy Arbatov's characterization of IMF officials as "neo-Bolsheviks who love expropriating other people's money, imposing undemocratic and alien rules of economic and political conduct and stifling economic freedom."

n4 Almost invariably Western leaders claim they are acting on behalf of "the world community." One minor lapse occurred during the run-up to the Gulf War. In an interview on "Good Morning America," Dec. 21, 1990, British Prime Minister John Major referred to the actions "the West" was taking against SaddamHussein. He quickly corrected himself and subsequently referred to "the world community." He was, however, right when he erred.

Western domination of the U.N. Security Council and its decisions, tempered only by occasional abstention by China, produced U.N. legitimation of the West'suse of force to drive Iraq out of Kuwait and its elimination of Iraq's sophisticated weapons and capacity to produce such weapons. It also produced the quite unprecedented action by the United States, Britain and France in getting the Security Council to demand that Libya hand over the Pan Am 103 bombing suspects and then to impose sanctions when Libya refused. After defeating the largest Arab army, the West did not hesistate to throw its weight around in the Arab world. The West in effect is using international institutions, military power and economic resources to run the world in ways that will maintain Western predominance, protect Western interests and promote Western political and economic values.

That at least is the way in which non-Westerners see the new world, and thereis a significant element of truth in their view. Differences in power and struggles for military, economic and institutional power are thus one source of conflict between the West and other civilizations. Differences in culture, thatis basic values and beliefs, are a second source of conflict. V. S. Naipaul hasargued that Western civilization is the "universal civilization" that "fits all men." At a superficial level much of Western culture has indeed permeated the rest of the world. At a more basic level, however, Western concepts differ fundamentally from those prevalent in other civilizations. Western ideas of individualism, liberalism, constitutionalism, human rights, equality, liberty, the rule of law, democracy, free markets, the separation of church and state, often have little resonance in Islamic, Confucian, Japanese, Hindu, Buddhist or Orthodox cultures. Western efforts to propagate each ideas produce instead a reaction against "human rights imperialism" and a reaffirmation of indigenous values, as can be seen in the support for religious fundamentalism by the younger generation in non-Western cultures. The very notion that there could bea "universal civilization" is a Western idea, directly at odds with the particularism of most Asian societies and their emphasis on what distinguishes one people from another. Indeed, the author of a review of 100 comparative studies of values in different societies concluded that "the values that are most important in the West are least important worldwide." n5 In the political realm, of course, these differences are most manifest in the efforts of the United States and other Western powers to induce other peoples to adopt Western ideas concerning democracy and human rights. Modern democratic government originated in the West. When it has developed colonialism or imposition.

n5 Harry C. Triandis, The New York Times, Dec. 25, 1990, p. 41, and "Cross-Cultural Studies of Individualism and Collectivism," Nebraska Symposium on Motivation, vol. 37, 1989, pp. 41-133.

The central axis of world politics in the future is likely to be, in Kishore Mahbubani's phrase, the conflict between "the West and the Rest" and the responses of non-Western civilizations to Western power and values. n6 Those responses generally take one or a combination of three forms. At one extreme, non-Western states can, like Burma and North Korea, attempt to pursue a course of isolation, to insulate their societies from penetration or "corruption" by the West, and, in effect, to opt out of participation in the Western-dominated global community. The costs of this course, however, are high, and few states have pursued it exclusively. A second alternative, the equivalent of "band-wagoning" in international relations theory, is to attempt to join the West and accept its values and institutions. The third alternative is to attempt to "balance" the West by developing economic and military power and cooperating with other non-Western societies against the West, while preserving indigenous values and institutions; in short, to modernize but not to Westernize.

n6 Kishore Mahbubani, "The West and the Rest," The National Interest, Summer 1992, pp. 3-13.

THE TORN COUNTRIES IN THE FUTURE, as people differentiate themselves by civilization, countries with large numbers of people of different civilizations, such as the Soviet Union and Yugoslavia, are candidates for dismemberment. Some other countries have a fair degree of cultural homogeneity but are divided over whether their society belongs to one civilization or another. These are town countries. Their leaders typically wish to pursue a bandwagoning strategy and to make theircountries members of the West, but the history, culture and traditions of their countries are non-Western. The most obvious and prototypical torn country is Turkey. The late twentieth-century leaders of Turkey have followed in the Attaturk tradition and defined Turkey as a modern, secular, Western nation state. They allied Turkey with the West in NATO and in the Gulf War; they applied for membership in the European Community. At the same time, however, elements in Turkish society have supported an Islamic revival and have argued that Turkey is basically a Middle Eastern Muslim society. In addition, while the elite of Turkey has defined Turkey as a Western society, the elite of the West refuses to accept Turkey and such. Turkey will not become a member of the European Community, and the real reason, as President Ozal said, "is that we areMuslim and they are Christian and they don't say that." Having rejected Mecca, and then being rejected by Brussels, where does Turkey look? Tashkent may be the answer. The end of the Soviet Union gives Turkey the opportunity to become the leader of a revived Turkic civilization involving seven countries from the borders of Greece to those of China. Encouraged by the West, Turkey is making strenuous efforts to carve out this new identity for itself.

During the past decade Mexico has assumed a position somewhat similar to thatof Turkey. Just as Turkey abandoned its historic opposition to Europe and attempted to join Europe, Mexico has stopped defining itself by its opposition to the United States and is instead attempting to imitate the United States and to join it in the North American Free Trade Area. Mexican leaders are engaged in the great task of redefining Mexican identity and have introduced fundamentaleconomic reforms that eventually will lead to fundamental political change. In 1991 a top adviser to President Carlos Salinas de Gortari described at length tome all the changes the Salinas government was making. When he finished, I remarked: "That's most impressive. It seems to me that basically you want to change Mexico from a Latin American country into a North American country." He looked at me with surprise and exclaimed: "Exactly! That's precisely what we are trying to do, but of course we could never say so publicly." As his remark indicates, in Mexico as in Turkey, significant elements in society resist the redefinition of their country's identity. In Turkey, European-oriented leaders have to make gestures to Islam (Ozal's pilgrimage to Mecca); so also Mexico's North American-oriented leaders have to make gestures to those who hold Mexico to be a Latin American country (Salinas' Ibero-American Guadalajara summit).

Historically Turkey has been the most profoundly torn country. For the United States, Mexico is the most immediate torn country. Globally the most important torn country is Russia. The question of whether Russia is part of theWest or the leader of the Slavic-Orthodox civilization has been a recurring one in Russian history. That issue was obscured by the communist victory in Russia,which imported a Western ideology, adapted it to Russian conditions and then challenged the West in the name of that ideology. The dominance of communism shut off the historic debate over Westernization versus Russification. With communism discredited Russians once again face that question.

President Yeltsin is adopting Western principles and goals and seeking to make Russia a "normal" country and a part of the West. Yet both the Russian elite and the Russian public are divided on this issue. Among the more moderatedissenters, Sergei Stankevich argues that Russia should reject the "Atlanticist"course, which would lead it "to become European, to become a part of the world economy in rapid and organized fashion, to become the eighth member of the Seven, and to particular emphasis on Germany and the United States as the two dominant members of the Atlantic alliance." While also rejecting an exclusively Eurasian policy, Stankevich nonetheless argues that Russia should give priority to the protection of Russians in other countries, emphasize its Turkic and Muslim connections, and promote "an appreciable redistribution of our resources,our options, our ties, and our interests in favor of Asia, of the eastern direction." People of this persuasion criticize Yeltsin for subordinating Russia's interests to those of the West, for reducing Russian military strength,for failing to support traditional friends such as Serbia, and for pushing economic and political reform in ways injurious to the Russian people. Indicative of this trend is the new popularity of the ideas of Petr Savitsky, who in the 1920s argued that Russia was a unique Eurasian civilization. n7 More extreme dissidents voice much more blatantly nationalist, anti-Western and anti-Semitic views, and urge Russia to redevelop its military strength and to establish closer ties with China and Muslim countries. The people of Russia areas divided as the elite. An opinion survey in European Russia in the spring of 1992 revealed that 40 percent of the public had positive attitudes toward the West and 36 percent had negative attitudes. As it has been for much of its history, Russia in the early 1990s is truly a torn country. n7 Sergei Stankevich, "Russia in Search of Itself," The National Interest, Summer 1992, pp. 47-51; Daniel Schneider, "A Russian Movement Rejects Western Tilt," Christian Science Monitor, Feb. 5, 1993, pp. 5-7.

To redefine its civilization identity, a torn country must meet three requirements. First, its political and economic elite has to be generally supportive of and enthusiastic about the move. Second, its public has to be willing to acquiesce in the redefinition. Third, the dominant groups in the recipient civilization have to be willing to embrace the convert. All three requirements in large part exist with respect to Mexico. The first two in largepart exist with respect to Turkey. It is not clear that any of them exist with respect to Russia's joining the West. The conflict between liberal democracy and Marxism-Leninism was between ideologies which, despite their major differences, ostensibly shared ultimate goals of freedom, equality and prosperity. A traditional, authoritarian, nationalist Russia could have quite different goals. A Western democrat could carry on an intellectual debate with a Soviet Marxist. It would be virtually impossible for him to do that with a Russian traditionalist. If, as the Russians stop behaving like Marxists, they reject liberal democracy and begin behaving like Russians but not like Westerners, the relations between Russia and the West could again become distantand conflictual. n8

n8 Owen Harries has pointed out that Australia is trying (unwisely in his view) to become a torn country in reverse. Although it has been a full member not only of the West but also of the ABCA military and intelligence core of the West, its current leaders are in effect proposing that it defect from the West, redefine itself as an Asian country and cultivate close ties with its neighbors. Australia's future, they argue, is with the dynamic economies of East Asia. But, as I have suggested, close economic cooperation normally requires a common cultural base. In addition, none of the three conditions necessary for a torn country to join another civilization is likely to exist in Australia's case.

THE CONFUCIAN-ISLAMIC CONNECTION THE OBSTACLES TO non-Western countries joining the West vary considerably. Theyare least for Latin American and East European countries. They are greater for the Orthodox countries of the former Soviet Union. They are still greater for Muslim, Confucian, Hindu and Buddhist societies. Japan has established a uniqueposition for itself as an associate member of the West: it is in the West in some respects but clearly not of the West in important dimensions. Those countries that for reason of culture and power do not wish to, or cannot, join the West compete with the West by developing their own economic, military and political power. They do this by promoting their internal development and by cooperating with other non-Western countries. The most prominent form of this cooperation is the Confucian-Islamic connection that has emerged to challenge Western interests, values and power.

Almost without exception, Western countries are reducing their military power; under Yeltsin's leadership so also is Russia. China, North Korea and several Middle Eastern states, however, are significantly expanding their military capabilities. They are doing this by the import of arms from Western and non-Western sources and by the development of indigenous arms industries. One result is the emergence of what Charles Krauthammer has called "Weapon States," and the Weapon States are not Western states. Another result is the redefinition of arms control, which is a Western concept and a Western goal. During the Cold War the primary purpose of arms control was to establish a stable military balance between the United States and its allies and the Soviet Union and its allies. In the post-Cold War world the primary objective of arms control is to prevent the development by non-Western societies of military capabilities that could threaten Western interests. The West attempts to do this through international agreements, economic pressure and controls on the transfer of arms and weapons technologies.

The conflict between the West and the Confucian-Islamic states focuses largely, although not exclusively, on nuclear, chemical and biological weapons, ballistic missiles and other sophisticated means for delivering them, and the guidance, intelligence and other electronic capabilities for achieving that goal. The West promotes nonproliferation as a universal norm and nonproliferation treaties and inspections as means of realizing that norm. It also threatens a variety of sanctions against those who promote the spread of sophisticated weapons and proposes some benefits for those who do not. The attention of the Wests focuses, naturally on nations that are actually or potentially hostile to the West.

The non-Western nations, on the other hand, assert their right to acquire andto deploy whatever weapons they think necessary for their security. They also have absorbed, to the full, the truth of the response of the Indian defense minister when asked what lesson he learned from the Gulf War: "Don't fight the United States unless you have nuclear weapons." Nuclear weapons, chemical weapons and missiles are viewed, probably erroneously, as the potential equalizer of superior Western conventional power. China, of course, already hasnuclear weapons; Pakistan and India have the capability to deploy them. North Korea, Iran, Iraq, Libya and Algeria appear to be attempting to acquire them. Atop Iranian official has declared that all Muslim states should acquire nuclear weapons, and in 1988 the president of Iran reportedly issued a directive callingfor development of "offensive and defensive chemical, biological and radiological weapons."

Centrally important to the development of counter-West military capabilities is the sustained expansion of China's military power and its means to create military power. Buoyed by spectacular economic development, China is rapidly increasing its military spending and vigorously moving forward with the modernization of its armed forces. It is purchasing weapons from the former Soviet states; it is developing long-range missiles; in 1992 it tested a one-megaton nuclear device. It is developing power-projection capabilities, acquiring aerial refueling technology, and trying to purchase an aircraft carrier. Its military buildup and assertion of sovereignty over the South ChinaSea are provoking a multilateral regional arms race in East Asia. China is alsoa major exporter of arms and weapons technology. It has exported materials to Libya and Iraq that could be used to manufacture nuclear weapons and nerve gas. It has helped Algeria build a reactor suitable for nuclear weapons research and production. China has sold to Iran nuclear technology that American officials believe could only be used to create weapons and apparently has shipped components of 300-mile-range missiles to Pakistan. North Korea has had a nuclear weapons program under way for some while and has sold advanced missiles and missile technology to Syria and Iran. The flow of weapons and weapons technology is generally from East Asia to the Middle East. There is, however, some movement in the reverse direction; China has received Stinger missiles fromPakistan.

A Confucian-Islamic military connection has thus come into being, designed topromote acquisition by its members of the weapons and weapons technologies needed to counter the military powers of the West. It may or may not last. At present, however, it is, as Dave McCurdy has said, "a renegades' mutual support pact, run by the proliferators and their backers." A new form of arms competition is thus occurring between Islamic-Confucian states and the West. Inan old-fashioned arms race, each side developed its own arms to balance or to achieve superiority against the other side. In this new form of arms competition, one side is developing its arms and the other side is attempting not to balance but to limit and prevent that arms build-up while at the same time reducing its own military capabilities.

IMPLICATIONS FOR THE WEST THIS ARTICLE DOES not argue that civilization identities will replace all other identities, that nation states will disappear, that each civilization will become a single coherent political entity, that groups within a civilization will not conflict with and even fight each other. This paper does set forth the hypotheses that differences between civilizations are real and important; civilization-consciousness is increasing; conflict between civilizations will supplant ideological and other forms of conflict as the dominant global form of conflict; international relations, historically a game played out within Westerncivilization, will increasingly be de-Westernized and become a game in which non-Western civilizations are actors and not simply objects; successful political, security and economic international institutions are more likely to develop within civilizations than across civilizations; conflicts between groupsin different civilizations will be more frequent, more sustained and more violent than conflicts between groups in the same civilization; violent conflicts between groups in different civilizations are the most likely and mostdangerous source of escalation that could lead to global wars; the paramount axis of world politics will be the relations between "the West and the Rest"; the elites in some torn non-Western countries will try to make their countries part of the West, but in most cases face major obstacles to accomplishing this; a central focus of conflict for the immediate future will be between the West and several Islamic-Confucian states.

This is not to advocate the desirability of conflicts between civilizations. It is to set forth descriptive hypotheses as to what the future may be like. Ifthese are plausible hypotheses, however, it is necessary to consider their implications for Western policy. These implications should be divided between short-term advantage and long-term accommodation. In the short term it is clearly in the interest of the West to promote greater cooperation and unity within its own civilization, particularly between its European and North American components; to incorporate into the West societies in Eastern Europe and Latin America whose cultures are close to those of the West; to promote and maintain cooperative relations with Russia and Japan; to prevent escalation of local inter-civilization conflicts into major inter-civilization wars; to limit the expansion of the military strength of Confucian and Islamic states; to moderate the reduction of counter military capabilities and maintain military superiority in East and Southwest Asia; to exploit differences and conflicts among Confucian and Islamic states; to support in other civilizations groups sympathetic to Western values and interests; to strengthen international institutions that reflect and legitimate Western interests and values and to promote the involvement of non-Western states in those institutions.

In the longer term other measures would be called for. Western civilization is both Western and modern. Non-Western civilizations have attempted to become modern without becoming Western. To date only Japan has fully succeeded in thisquest. Non-Western civilization will continue to attempt to acquire the wealth,technology, skills, machines and weapons that are part of being modern. They will also attempt to reconcile this modernity with their traditional culture andvalues. Their economic and military strength relative to the West will increase. Hence the West will increasingly have to accommodate these non-Western modern civilizations whose power approaches that of the West but whose values and interests differ significantly from those of the West. This will require the West to maintain the economic and military power necessary to protect its interests in relation to these civilizations. It will also, however, require the West to develop a more profound understanding of the basic religious and philosophical assumptions underlying other civilizations and the ways in which people in those civilizations see their interests. It will require an effort to identify elements of commonality between Western and other civilizations. For the relevant future, there will be no universal civilization, but instead a world of different civilizations, each of which willhave to learn to coexist with the others.


GRAPHIC: Photograph, Sarcophagus of Alexander, Late Fourth Century B.C., BY GIAMBERTO VANNI, FOR ART RESOURCE, NEW YORK; Map, no caption, Source: W. Wallace, THE TRANSFORMATION OF WESTERN EUROPE. London: Pinter, 1990. Map by Ib Ohlsson for FOREIGN AFFAIRS.

 

 

 

Total Pageviews